ตอนที่ 307 โดนเอาเปรียบ
เมื่อเห็นนางไม่กล่าวตอบ จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา แล้วเลิกคิ้วถามว่า “เป็นอะไรไป เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามั่นใจในวิชาแพทย์ของตนเอง แค่เวลาเพียงพริบตาเท่านั้น เจ้าก็กลัวแล้วหรือ”
ไป๋จื่อเชิดหน้าขึ้น “กลัว? ใครกลัวกัน ข้าไม่ได้กลัวเสียหน่อย ข้าบอกแล้วว่าเจ้าจะต้องฟื้นความทรงจำกลับมาได้อย่างแน่นอน”
“เจ้ารับปาก?” หูเฟิงถาม
“รับปากอะไร” ไป๋จื่อทำเป็นไขสือ
หูเฟิงแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงเสียเลย “เจ้าไม่รับปาก ข้าก็ไม่ดื่มยา ข้าไม่อาจทำการทดลองของเจ้าโดยที่ไม่ได้รับอะไรตอบแทน ใครจะรู้ว่าดื่มยานี้ลงไปแล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ ข้าดื่มเฉยๆ ไม่ได้หรอก หากรักษาหาย พวกเรามีแต่ได้กับได้ แต่หากรักษาไม่หาย เจ้าย่อมต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง”
รับผิดชอบอะไรบ้าง?
นางก้มหน้าลงมองตัวเอง “ดังนั้นหากรักษาไม่หาย ข้าก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวข้าหรือ”
เมื่อเห็นนางไม่พูดอะไรออกมาอีก เขาก็พลันนวดศีรษะ ขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้วด้วย
“เจ้าเป็นอะไรไป” นางถาม
หูเฟิงลอบมองนางจากช่องเล็กๆ ของดวงตา แสร้งทำหน้าตาเจ็บปวดรวดร้าว “ปวดหัว…” เดิมทีเขาปวดหัวอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่อยากแสดงออกทางสีหน้า บัดนี้เขาอยากบีบให้นางตัดสินใจโดยเร็วก็เท่านั้น
ไป๋จื่อกลัวว่าเขาจะอาการหนัก ในใจคิดว่าถึงอย่างไรเขาดื่มยาสามชุดแล้วก็จะหาย ตอนนี้รับปากเขาไปก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงคำสัญญาที่ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้อยู่แล้ว
“ได้ ข้ารับปากเจ้า ตอนนี้เจ้าดื่มยาได้แล้วใช่หรือไม่” นางถาม
หูเฟิงสายหน้า “รับคำคงไม่พอ เจ้าต้องเขียนด้วย”
เด็กสาวหมดหนทางกับเขาแล้ว ตอนนี้เขาหมือนเด็กน้อยป่วยหนักคนหนึ่ง ที่พี่สาวพยาบาลต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหลอกล่อให้เขากินยาอย่างไรอย่างนั้น
“ได้ ข้าจะเขียน ตามใจเจ้า!” นางหาพู่กันและหมึกจากลิ้นชักภายในห้อง ทว่านางไม่ถนัดเขียนหนังสือด้วยพู่กันเช่นนี้ ตัวหนังสือที่ได้ออกมาจึงเหมือนไก่เขี่ย แต่ถึงอย่างไรก็ยังถือว่าชัดเจน เข้าใจได้
หูเฟิงรับกระดาษที่นางส่งมาให้ แล้วอ่านออกเสียงทีละตัวอักษร “ไป๋จื่อสัญญากับหูเฟิง หากรักษาอาการความจำเสื่อมไม่ได้ จะใช้ร่างกายชดใช้ และจะไม่บ่นเลยสักคำ”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ แต่จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นมากัดนิ้วของตนเอง ปล่อยให้เลือดสดซึมออกมา
ไป๋จื่อรีบถาม “เจ้าทำอะไรน่ะ?”
เขาจับมือของนาง ก่อนจะจับไปถึงนิ้วมือของนาง เพื่อทาบนิ้วมือของนางลงบนเลือดของเขา จากนั้นก็ประทับรอยเลือดลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว
“เรียบร้อย” เขายิ้มขณะพับกระดาษ ก่อนจะใส่มันไว้ในอกเสื้อ
ไป๋จื่อพลันมีความรู้สึกเหมือนถูกหลอก…
“ยังตะลึงอะไรอยู่อีก นำยามาสิ!” หูเฟิงพูดกับไป๋จื่อที่กำลังเหม่อ
“อ้อ!” นางยังมึนงงอยู่เล็กน้อย สมองสั่งการไม่ทัน ได้แต่ส่งยาให้ชายหนุ่มอย่างทื่อๆ มองเขาดื่มยารวดเดียวจนเกลี้ยงทั้งอย่างนั้น…สุดท้ายนางก็ยกถ้วยเปล่าออกไปทั้งๆ ที่ยังเหม่อลอย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก
‘ไม่ถูกต้อง ข้ารักษาให้เขา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยรับเงินสักเฉียน เขามีสิทธิ์อะไรให้ข้าใช้ร่างกายชดใช้’
ชดใช้หนี้อะไรกัน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ อาการความจำเสื่อมจะหายได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าใครบอกว่าหายก็ใช้ได้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่ารักษาหายหรือไม่ หากความจริงรักษาหายแล้ว แต่เขาหลอกว่ารักษาไม่หาย เช่นนั้นนางไม่เท่ากับเป็นคนใบ้กินหวงเหลียน[1] ขมแต่พูดไม่ออกหรือ
ไม่ได้การ เขาให้เขาพูดเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง นางยอมให้ใครเอาเปรียบเช่นนี้ได้ตั้งแต่เมื่อใด
ทว่าเพิ่งถึงประตูห้องของหูเฟิง นางก็นึกถึงภาพที่เขาเสียสละตนเองเพื่อช่วยนางก่อนหน้านี้ นึกถึงความเจ็บปวดที่เขาต้องทุกข์ทนในตอนนี้ จนสุดท้ายนางก็ตัดใจไม่ลง
ช่างเถอะ รอเขาหายแล้วค่อยให้เขาพูดให้ชัดเจนแล้วกัน
หูเฟิงตื่นจากภวังค์ เขาวางช้อนในมือลงอย่างช้าๆ แล้วหันหน้าไปมองไป๋จื่อที่อยู่ข้างกาย สีหน้าของเขาเรียบเฉยดังผืนน้ำไร้คลื่นดังเดิม ทว่าในดวงตาคู่นั้นของเขา กลับคล้ายว่าเป็นผิวมหาสมุทรที่ต้องลมพายุ มีเกลียวคลื่นซัดสาดอย่างรุนแรง
“ดีขึ้นแล้ว เจ้าเล่า เจ้าสบายดีหรือไม่”
ไปจื่อเห็นเห็นในชามใหญ่บนโต๊ะยังเหลือโจ๊กอยู่ครึ่งหนึ่ง ช้อนแกงคันใหญ่วางอยู่ในนั้น นางชี้ชามพลางถามว่า “เจ้าอยากกินอีกหรือไม่”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“เช่นนั้นข้ากินเอง หิวจะตายอยู่แล้ว” นางยกชามใหญ่ขึ้นตักโจ๊กเข้าปากช้อนหนึ่ง โจ๊กขาวอุ่นๆ ไหลผ่านคอหอยลงสู่กระเพาะที่ว่างเปล่า ช่างสบายท้องเสียจริงๆ
นางชำเลืองมองหูเฟิงครั้งหนึ่ง เห็นเขาจ้องตนเองอยู่ตลอด “ทำไม? ไม่เคยเห็นข้ากินข้าวหรือ”
หูเฟิงพลันยิ้ม เด็กสาวผู้นี้ถึงแม้จะทำกิริยาที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าน่าเกลียด ทว่าเขากลับรู้สึกว่าน่ารัก น่ารักมาก
“ท่าทางเวลากินข้าวของเจ้าดีมาก รักษาไว้นะ” เขายิ้มมุมปาก
ไป๋จื่อไม่สนใจเขา ไม่ว่าเขาจะพูดจริงหรือหลอก ไม่ว่าเขาจะล้อเล่นหรือมีเจตนาอื่น นางก็ยังคงเติมอาหารใส่กระเพาะต่อไป เซ่นสรวงร่างกายของตนเอง
หลังจากกินโจ๊กในชามหมดแล้ว นางถึงจะวางชามลง แล้วหยิบผ้าบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดปาก เสร็จสิ้นกระบวนการแล้วถึงถามหูเฟิงว่า “ได้ยินว่าเมื่อคืนเจ้าละเมอทั้งคืน จำอะไรได้บ้างแล้วใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มเห็นแววตาของนางเป็นประกายเล็กน้อย จึงรีบเบือนหน้าไปมองต้นสาลี่ข้างนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปในทันที “จำไม่ได้”
“จำอะไรไม่ได้เลยหรือ” นางเลิกคิ้ว
หูเฟิงตอบเสียงเรียบ “อืม จำไม่ได้”
ท่าทางของเขาไม่เหมือนว่าจำอะไรได้ หากจำได้ เหตุใดถึงไม่ยอมพูดเล่า ไม่สะดวกใจ? หรือเพราะอดีตของเขามืดมนเกินไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
แอดรบกวนลงให้อ่านจนจบได้ไหมคะ รออ่านอยู่น้า...
สนุกมากค่ะ แอดรบกวนอัปให้อ่านจนจบได้ไหมคะรออ่านอยู่น้าาาาา...
อัพเดทตอนใหม่เมื่อไรค่ะ...
คุณแอดมินผู้ใจดี ช่วยอัพเดทตอนใหม่เยอะๆเลยนะคะ ชอบมาก สนุก พลีสสสสส...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...
เอาใจช่วยหูเฟิงทวงคทนอำนาจนะ...
ถ้าพ่อไม่ถูกเมียรังแกจนเกือบตายก็คงไม่ตื่นสินะ...
ดีใจกับเสี่ยวเฟิง...