คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา นิยาย บท 359

ตอนที่ 359 เอาเงินมาให้ข้า

หัวหน้าหมู่บ้านพูดเช่นนี้แล้ว คนในหมู่บ้านที่เจ้าใหญ่เจี่ยพามาเป็นพยานเหล่านั้น ก็พากันวิ่งออกไปราวกับบินในทันที

หูจ่างชิงและหวังต้าหนิวก็รีบพาบุตรชายของตนเองจากไปเช่นกัน ด้วยกลัวว่าขืนชักช้าแม้แต่ก้าวเดียว เจ้าใหญ่เจี่ยจะหวนกลับมาขู่กรรโชกตนอีกครั้ง

ไป๋จื่อเดินไปดูตงจื่อที่นอนอยู่บนเตียงครั้งหนึ่ง เห็นเขากำลังลอบมองนางอยู่เช่นกัน ในเบ้าตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา นางถอนใจเสียงหนึ่ง คนที่มีชีวิตเช่นนี้น่าสงสารนัก ถึงแม้คนนอกอยากช่วยก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาแล้ว

ทุกคนทยอยแยกย้ายกันไปแล้ว แผนขู่กรรโชกเงินของเจ้าใหญ่เจี่ยและภรรยาพังไม่เป็นท่า พวกเขาจึงโมโหจนต้องกระทืบเท้า

วันนี้รถม้าของร้านสือเค่อมารับแตงดินอีกแล้ว คนบังคับรถครั้งนี้เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เพราะคนก่อนป่วยไข้ จึงให้เขามาทำหน้าที่แทนชั่วคราว เมื่อเข้าหมู่บ้านมาแล้วก็ไม่รู้จะไปทางใด ครั้นเหลือบมองเห็นสตรีสองคนถือกะละมังไม้เดินไปทางริมแม่น้ำ เขาจึงรีบบังคับรถม้าตามไป “พี่สะใภ้ท่านนี้ บ้านของไป๋จื่ออยู่ทางใดหรือ”

คนที่ถือกะลังอยู่คือหญิงชราและหลิวซื่อ ฝ่ายหลิวซื่อหรี่ตาพิจารณาคนบังคับรถครั้งหนึ่ง จากนั้นก็กวาดสายตามองรถม้าคันนี้ เป็นรถม้าที่นางคุ้นตามา ก่อนหน้านี้มาสามวันครั้ง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสองวันครั้งแล้ว ทว่าคนบังคับรถตรงหน้านี้นับเป็นคนแปลกหน้าทีเดียว

“เจ้าไม่ใช่คนบังคับรถก่อนหน้านี้นี่” หลิวซื่อกล่าว

ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน “วันนี้ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก พี่จ้าวป่วย ข้าจึงช่วยทำหน้าที่แทนเขาสักครั้ง เมื่อเขาหายดีแล้ว งานนี้ย่อมต้องเป็นเขาทำ”

หลิวซื่อร้องอ๋อเสียงหนึ่ง บนใบหน้าปั้นยิ้มยกใหญ่ “ข้าเป็นท่านป้าใหญ่ของไป๋จื่อ แซ่ไป๋เหมือนกันกับนาง”

“ที่แท้เป็นครอบครัวเดียวกับไป๋จื่อ พอดีเลย รบกวนพี่สะใภ้นำทางให้ข้าด้วยขอรับ” ชายหนุ่มยิ้มไม่หุบ

หลิวซื่อพยักหน้า “ย่อมได้ ว่าแต่วันนี้พวกเจ้ามารับแตงดินกี่ชั่งหรือ”

“หนี่งร้อยชั่ง แต่ละครั้งล้วนรับไปหนึ่งร้อยชั่ง” ชายหนุ่มรีบตอบ

หญิงชราที่อยู่ข้างๆ ยิ้มขับตีนกาถามว่า “แตงดินหนึ่งร้อยชั่ง พวกเจ้าที่ร้านสือเค่อต้องทำอาหารมากเพียงใดกัน คงจะขายได้เป็นเงินไม่น้อยเลยสินะ เปิดร้านอาหารช่างทำเงินได้ดีจริงๆ แต่แตงดินที่หลานสาวของข้าลำบากปลูก กลับขายได้เป็นเงินไม่เท่าไร”

ชายหนุ่มโบกมือในทันที “ท่านพูดเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ พูดตามตรง ข้าไม่เคยเห็นแตงดินที่มีราคาสูงเช่นนี้มาก่อนเลย แตงดินหนึ่งร้อยชั่งนี้ เถ้าแก่เฉินของพวกข้าต้องจ่ายเงินซื้อมาในราคาห้าตำลึงเงิน ถึงแม้จะเป็นที่เมืองหลวงก็ไม่น่าจะมีราคาเช่นนี้นะขอรับ”

หญิงชรายิ่งยิ้มไม่หุบ “อะไรนะ หากข้าไม่ได้หูฝาดไป เมื่อครู่เจ้าบอกว่าห้าตำลึงรึ”

หลิวซื่อยิ่งอิจฉาจนแทบบ้า ตลอดทั้งปีพวกเขาไม่เคยหาเงินได้ถึงห้าตำลึงเงิน ทว่าไป๋จื่อกลับหาเงินได้มากมายขนาดนั้น ทั้งๆ ที่นางอยู่ในบ้านสบายๆ เท่านั้น อีกทั้งยังได้เงินห้าตำลึงทุกสองวันอีก…หากเป็นเช่นนี้ไปตลอดทั้งปีจะเป็นเงินเท่าไร

หญิงชราเห็นชายหนุ่มตรงหน้าดูเซ่อซ่า จึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา นางพูดว่า “เจ้าหนุ่ม ข้าเป็นย่าของไป๋จื่อ เมื่อครู่นางบอกข้าว่าวันนี้จะมอบเงินขายแตงดินให้ข้า นี่ก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ถึงเวลาต้องทำเสื้อผ้าใหม่พอดี ข้ากำลังจะไปหานาง เจ้านำเงินมาให้ข้าก่อน อีกเดี๋ยวเจ้าเจอไป๋จื่อก็บอกนางสักคำเป็นใช้ได้”

ชายหนุ่มส่ายหน้าทันที “ไม่ได้หรอกขอรับ ข้าช่วยคนอื่นทำหน้าที่ขนสินค้า แต่ไหนแต่ไรของมาเงินไป จะให้เงินก่อนเห็นของได้อย่างไรกัน” ‘อีกอย่างท่านก็ไม่ใช่ไป๋จื่อเองเสียหน่อย’ แน่นอนว่าเขาเก็บงำคำพูดนี้ไว้ ไม่ได้กล่าวออกไป

……….

ตอนที่ 360 สตรีที่ตาลุกวาวเมื่อเห็นเงิน

แม้เขาจะซื่อ ทว่าก็ไม่ใช่คนโง่ สองคนตรงหน้านี้มีแต่ความโลภอยู่เต็มไปหน้า เมื่อได้ยินคำว่าห้าตำลึงเงิน ดวงตาของพวกนางก็พลันวาวโรจน์ เกือบจะน้ำลายสออยู่แล้วเชียว

หญิงชราทำหน้าบึ้ง “ไม่ใช่ก็เร็วอย่างไรเจ้าก็ต้องจ่ายเงิน ไม่เห็นเป็นไร เจ้าไม่เชื่อยายแก่อย่างข้ารึ”

ชายหนุ่มรีบโบกมือ “ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อท่าน เพียงแต่กฎมีไว้ให้รักษา ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จะรายงานต่อท่านเจ้าของร้านอย่างไร”

หลิวซื่อกล่าวต่อ “รายงานอะไร เจ้าของร้านมอบเงินห้าตำลึงเงินให้เจ้า ให้เจ้านำแตงดินร้อยชั่งกลับไปจากที่นี่ เจ้านำแตงดินกลับไปก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ยังจะต้องรายงานอะไรอีก”

“เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้ว ว่าพวกเขามีหน้าที่มารับสินค้า แต่ไหนแต่ไรล้วนถือคติจ่ายเงินเมื่อได้ของ ท่านทั้งสองอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย ไม่เช่นนั้นทำอย่างนี้ดีหรือไม่ ท่านทั้งสองพาข้าไปหาแม่นางไป๋ ขอเพียงนางพยักหน้า ข้าจะมอบเงินให้ท่านทั้งสองทันที เป็นอย่างไร” ชายหนุ่มกล่าว

หลิวซื่อแอบก่นด่าอยู่ในใจ หากไป๋จื่อยอมพยักหน้าง่ายๆ เช่นนั้น พวกนางจะยังต้องเปลืองน้ำลายอยู่ที่นี่หรือ

หญิงชรากล่าว “เจ้าหนุ่มผู้นี้ทำอะไรช่างมั่นคงยิ่งนัก เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องนำแตงดินไปแล้ว กลับไปเถอะ หลานสาวข้าจะไม่ทำการค้าขายกับเจ้าแล้ว วันนี้ไม่ขายแตงดินให้เจ้าแล้ว”

เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็หน้าซีดเผือด ร้านสือเค่อยังรอแตงดินลงหม้ออยู่ หากเขาไม่นำแตงดินกลับไปให้ตรงเวลา เช่นนั้นจุดจบของเขาก็คงต้องน่าเวทนายิ่งนัก

เขากำลังคิดว่ามอบเงินให้พวกนางไปก็สิ้นเรื่อง ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นครอบครัวเดียวกับแม่นางไป๋ มอบเงินให้ใครก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไร

ชายหนุ่มนำเงินออกมา ขณะกำลังจะส่งเงินนั้นให้หญิงชราและหลิวซื่อ ทันใดนั้นหูจ่างหลินก็แบกตะกร้าไม้ไผ่เดินผ่านมา เขาจำรถม้าของร้านสือเค่อได้ทันทีที่เห็น และเห็นว่าคนบังคับรถกำลังสนทนากับหญิงชรา รวมถึงหลิวซื่ออยู่ด้วย ในมือยังถือก้อนเงินตำลึงอยู่อีกต่างหาก ราวกับว่ากำลังจะส่งเงินให้หญิงชรา เขาพลันร้องว่าแย่แล้วอยู่ในใจ ก่อนจะรีบตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”

ชายหนุ่มกลับหลังหัน มือที่ยื่นออกไปย่อมชักกลับมาตามธรรมชาติ ส่วนมือที่ยื่นไปรับเงินของหญิงชราชะงักค้าง นางเกิดร้อนใจขึ้นมา จึงเตรียมจะยื่นมือไปแย่งเงินมา แต่หูจ่างหลินกลับถลันมาถึงข้างกายของชายหนุ่ม ดึงเขาไปที่ด้านหลังของตนเอง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร”

หญิงชรารู้สึกโมโหยิ่งนัก นางขมวดคิ้วกล่าวด้วยความโกรธขึ้ง “พวกข้ากำลังทำอะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าไม่ทราบ เจ้าก็เหมือนสุนัขจับหนู[1] สนใจแต่เรื่องของตัวเองจะดีกว่านะ”

หลิวซื่อพูดต่อในทันที “นั่นน่ะสิ ช่างเห็นตนเองเป็นคนสำคัญเสียจริง เจ้าเป็นคนรักลับๆ ของจ้าวหลานหรือไร”

หูจ่างหลินถ่มน้ำลายไปทางนาง แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ปากของเจ้าช่างพูดอะไรรื่นหูไม่เป็นจริงๆ ด้วย ตนเองเป็นคนอย่างไร ก็คิดว่าคนอื่นจะเป็นเช่นนั้นด้วยหรือ ถุย!”

ชายหนุ่มตะลึงงัน “ท่านลุงท่านนี้ ท่านเป็นใครกันรึ”

“เจ้ามารับแตงดินกระมัง ไป ข้าจะนำเจ้าไปรับสินค้า” หูจ่างหลินกล่าว

อีกฝ่ายชี้ไปยังหญิงชราและหลิวซื่อ กล่าวว่า “พวกนางไม่ใช่ท่านยายกับท่านป้าของแม่นางไป๋หรอกหรือ”

หูจ่างหลินส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ไม่ต้องสนใจพวกนาง ก็แค่สตรีที่ตาลุกวาวเมื่อเห็นเงินเท่านั้น”

ที่แท้ก็ไม่ใช่ ชายหนุ่มตบหน้าอกพลางถอนใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่ท่านลุงผู้นี้มาถึงได้ทันกาล ไม่เช่นนั้นเงินห้าตำลึงนี้คงจะถูกพวกนางหลอกเอาไปแล้ว

หญิงชราและหลิวซื่อก่นด่าไล่หลังรถม้าไม่ยอมหยุด ในใจอยากจะเข้าไปกัดหูจ่างหลินเพื่อระบายโทสะสักสองคำ ทว่าก็ไม่มีความกล้าถึงเพียงนั้น หูเฟิงก็ไม่ใช่คนที่พวกนางจะไปหาเรื่องด้วยได้ หากกัดหูจ่างหลินแล้วจริงๆ ชายหนุ่มผู้นั้นจะไม่ตีพวกนางจนฟันร่วงเลยหรือไร

“ท่านแม่ ปีหน้าพวกเราก็ต้องปลูกแตงดินนะเจ้าคะ หนึ่งร้อยชั่งขายได้ตั้งห้าตำลึงเงินเชียว หากปลูกบนที่นาห้าหมู่ของพวกเรา คงจะร่ำรวยขึ้นมาอย่างแน่นอน”

หญิงชราพยักหน้า “ถูกต้อง ปีหน้าพวกเราก็จะปลูกแตงดินเช่นกัน เช่นนั้นก็มีเงินให้เสี่ยวเฟิงเรียนและสอบขุนนางแล้ว”

[1] สุนัขจับหนู (狗拿耗子) หมายถึง เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน ไมเพียงแต่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น รังแต่จะทำให้เรื่องราวแย่ลง เหมือนดังการจับหนูที่เป็นหน้าที่ของแมว ไม่ใช่หน้าที่ของสุนัข

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา