คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา นิยาย บท 373

ตอนที่ 373 อดีตของอาอู่

เมื่อพูดถึงสงคราม ไป๋จื่อเห็นสีหน้าของจ้าวซู่เอ๋อเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด บนใบหน้าของนางแม้กระทั่งมีความหวาดหวั่นอยู่เต็มเปี่ยม ราวกับว่าเคยผ่านช่วงเวลาอันดำมืดเช่นนั้นมาแล้ว

“พี่สะใภ้ ครอบครัวของท่านก็เคยไปสงครามมาเหมือนกันหรือ” ขณะกล่าวถาม ไป๋จื่อเอาแต่จ้องมองจ้าวซู่เอ๋อ พร้อมกันนั้นนางก็นึกถึงวรยุทธ์ แผลเป็นบนใบหน้า ไปจนถึงรอยแผลที่มักจะโผล่ออกมาให้เห็นโดยไม่ตั้งใจขณะทำงานของอาอู่ ทุกจุดล้วนเป็นแผลที่เกิดจากดาบทั้งสิ้น

แต่ไหนแต่ไรอาอู่ไม่เคยพูดถึงอดีตของตนเอง นางเองก็ไม่เคยถามเช่นกัน ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่อยากรู้

จ้าวซู่เอ๋อรู้สึกลังเลเล็กน้อย ว่านางควรนำความทรงจำที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้เหล่านั้นออกมาพูดอีกหรือไม่

ทันทีที่เห็นจ้าวซู่เอ๋อลังเล ไป๋จื่อก็ไม่อยากทำให้นางลำบากใจ จึงรีบถามว่า “หากไม่สะดวกพูดก็ช่างเถอะเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่ล่วงเกิน เดิมทีก็ไม่ควรถามอยู่แล้ว”

ครั้นเห็นไป๋จื่อลุกขึ้น จ้าวซู่เอ๋อก็รับจับมือของเด็กสาวเอาไว้ “อาจื่อ เจ้านั่งลงก่อน”

ไป๋จื่อนั่งลงอีกครั้ง

จ้าวซู่เอ๋อลุกขึ้น เดินไปเทน้ำชาถ้วยหนึ่งให้ตนเองที่โต๊ะเล็กข้างๆ นางดื่มน้ำชารวดเดียวจนหมดถ้วย หลังจากวางถ้วยลงแล้ว สีหน้าของนางถึงจะดูสงบและใจเย็นลงมาก

นางหันกายไปเผชิญหน้ากับไปจื่อ ก่อนจะพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เดิมทีเรื่องบางเรื่องควรจะเน่าตายอยู่ในท้อง ไม่ควรพูดถึงไปอีกตลอดกาล”

แม้จากนั้นจะชะงักไปครู่หนึ่ง แต่นางก็พูดต่ออีกว่า “แต่เจ้ากับท่านน้าหลานจริงใจกับพวกข้า พวกข้าก็ไม่อาจปิดบังทุกเรื่องกับพวกเจ้าได้ ข้าไม่สามารถพูดเรื่องในอดีตกับคนอื่นได้ ทว่ากับพวกเจ้า ข้าคิดว่าพวกข้าควรจะตรงไปตรงมาสักหน่อย”

จ้าวซู่เอ๋อเดินไปนั่งลงข้างๆ ไป๋จื่อ กล่าวเสียงเบาว่า

“เมื่อสามปีก่อน ข้ากับหรูเอ๋อร์อาศัยอยู่ที่ทงโจว นั่นเป็นบ้านเก่าของพวกข้า อาอู่เป็นหัวหมู่กองทหารเกราะดำของทัพฉู่ พวกข้าอาศัยเงินเดือนของอาอู่ นับว่าใช้ชีวิตแต่ละวันได้อย่างสะดวกสบาย ทงโจวอยู่ห่างจากค่ายหทารชายแดนเพียงสิบนาทีเท่านั้น อาอู่คิดถึงข้าและหรูเอ๋อร์อยู่เสมอ จึงมักจะลอบกลับมาเยี่ยมพวกข้ายามที่มีเวลาพักจากสงคราม แม้จะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้บ่อยๆ ทว่าพวกข้าก็มีความสุขมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง จู่ๆ อาอู่ก็หนีกลับมาพร้อมกับร่างกายเปื้อนเลือด ครั้นกลับมาแล้วก็พาข้ากับหรูเอ๋อร์หนี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกข้าก็พเนจรไปทั่ว ไม่ได้มีชีวิตอย่างสงบสุขเลยสักวัน จนมาพบกับพวกเจ้านี่แหละ”

นางจับมือของไป๋จื่อไว้แน่น “ดังนั้น เจ้าอย่าให้อาเฟิงไปรบเด็ดขาด เจ้ายังอายุน้อย จะทนรับความหวาดผวาที่สามีภรรยาแยกจากกันในทุกวันได้อย่างไร”

ไป๋จื่อยิ้มเจื่อน “เรื่องบางเรื่องใช่ว่าพวกเราคิดแล้ว จะสามารถทำมันได้ตามใจชอบนะเจ้าคะ ทุกคนล้วนมีเรื่องที่ตนเองอยากทำ และมีภาระหน้าที่ของตนเองเช่นกัน หูเฟิงมีเส้นทางชีวิตที่เขาอยากเดินไป ส่วนข้าเพียงอยากดูแลท่านแม่ของข้าให้ดี เรื่องอื่นค่อยว่ากันเถอะเจ้าค่ะ”

เด็กสาวเงยหน้ามองจ้าวซู่เอ๋อที่ขอบตาแดงก่ำ ถามว่า “พี่สะใภ้ แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อสามปีก่อน เหตุใดจู่ๆ พี่อู่ถึงโชกเลือดกลับมา ทั้งยังพาพวกท่านหนีไปอีก”

จ้าวซู่เอ๋อส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน อาอู่ไม่เคยเล่าให้ข้าฟัง ถึงแม้ข้าจะถามเขา เขาก็ไม่ยอมบอก”

ไป๋จื่อนึกได้ว่าเคยเกิดเรื่องเช่นนี้กับหูเฟิงเมื่อสามปีก่อนเช่นกัน ระหว่างทั้งสองคน คงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันกระมัง

หรือหูเฟิงกับอาอู่จะอยู่ในกองทัพเดียวกัน แต่ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่รู้จักกัน

“พี่สะใภ้ ท่านบอกว่าแต่ก่อนอาอู่เป็นหัวหมู่ในกองทัพ เช่นนั้นแล้วใครเป็นหัวหน้าใหญ่เล่า” ไป๋จื่อถามอีก

จ้าวซู่เอ๋อนึกๆ ดู สีหน้าไม่ค่อยแน่ใจนัก “เหมือนจะเป็นองค์ชายสักองค์ ชื่ออะไรสักอย่าง ข้าได้ยินอาอู่พูดถึงอยู่สองสามครั้ง บอกว่าองค์ชายมีวรยุทธ์แก่กล้า สั่งการกองทัพรอบคอบทุกด้าน เป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ฐานะของเขาต่ำต้อย ทั้งยังไม่ได้อยู่ในหน่วยเดียวกัน จึงไม่เคยพบกันมาก่อน”

……….

ตอนที่ 374 ที่แท้เด็กสาวก็กลัวร้อน

ไป๋จื่อนึกถึงกองทหารเกราะดำที่จ้าวซู่เอ๋อพูดถึงก่อนหน้านี้ นางเหมือนจะเคยได้ยินหูเฟิงพูดถึงมาก่อนเช่นกัน ว่าเขาเคยอยู่ในกองทหารม้าหุ้มเกราะ คนหนึ่งอยู่ในกองทหารม้าหุ้มเกราะ อีกคนหนึ่งอยู่ในกองทหารเกราะดำ เช่นนั้นก็ไม่ใช่กองทหารเดียวกันจริงๆ

“องค์ชายที่ท่านพูดถึง ใช้จิ้นอ๋องหรือไม่” นางถาม

จ้าวซู่เอ๋อนึกขึ้นได้โดยพลัน รีบพยักหน้า “ใช่ๆ เป็นจิ้นอ๋อง เมื่อครู่ข้านึกไม่ออก ข้าได้ยินอาอู่พูดถึงเขาอยู่สองสามครั้ง ที่พูดถึงก็เป็นชื่อของจิ้นอ๋องนี่แหละ”

ขณะพูด จ้าวซู่เอ๋อก็ถามด้วยความสงสัยอีก “เจ้ารู้ว่าเป็นจิ้นอ๋องได้อย่างไร”

ไป๋จื่อยิ้มกล่าว “วันที่ไปขายหนังสัตว์ พวกข้าไปดื่มชาฟังนิทานที่โรงน้ำชาด้วย ยามคนเล่านิทานพูดถึงจิ้นอ๋อง ข้าเห็นสีหน้าของอาอู่ดูแปลกไป ถึงได้นึกออกเจ้าค่ะ” ตอนนั้นนางไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของอาอู่นัก แต่เมื่อลองนึกดูในตอนนี้ ท่าทางของอาอู่ก็ผิดปกติจริงๆ เพียงแต่ในเวลานั้นนางสนใจเพียงหูเฟิง จึงไม่ได้สนใจเขามากเท่าไรนัก

“ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับจิ้นอ๋อง เหตุใดเกิดเรื่องกับจิ้นอ๋องแล้ว อาอู่ก็โชคร้ายตามไปด้วย” ไป๋จื่อถาม

จ้าวซู่เอ๋อส่ายหน้า “ข้าไม่รู้เรื่องพวกนั้นหรอก ข้าเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน มีชีวิตพเนจรติดตามอาอู่ไปก็เท่านั้น ไม่กล้าพูดอะไรกับคนอื่นตามใจชอบ อาอู่เองก็ไม่บอกข้าด้วย”

ไป๋จื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของนางแล้ว ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก เพียงยิ้มกล่าวว่า “เอาล่ะ อดีตที่เจ็บปวดจบสิ้นลงแล้ว ต่อจากนี้ต่างหาก พวกเราอยู่ที่หมู่บ้านหวงถัว ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ทุกวันมีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ท่านเชื่อข้านะเจ้าคะ”

อีกฝ่ายพยักหน้าซ้ำๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความตื้นตัน

หลังจากจ้าวซู่เอ๋อไปแล้ว ไป๋จื่อก็รีบซ่อนปิ่นปักผมไว้ในอกเสื้ออย่างดี เมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จ นางถึงรีบไปยังสกุลหูที่อยู่ด้านหน้า

เป็นดังที่นางคาดไว้ ม้าหายไปจากต้นไม้ที่ปกติจะผูกมันเอาไว้แล้ว…

หลายวันมานี้หูเฟิงออกไปข้างนอกบ่อยครั้งนัก แต่เขาไม่เคยพูดว่าไปที่ไหน หรือไปทำอะไร

นางถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในลานบ้านอย่างไร้เรี่ยวแรง ครั้นเงยหน้าขึ้น ก็สบเข้ากับดวงตาที่คุ้นเคยคู่หนึ่ง

“เจ้าอยู่บ้านหรือ” นางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ทั้งยังตกใจด้วยเช่นกัน

หูเฟิงก้มหน้าลง ซ่อมแซมเก้าอี้ในบ้านต่อ “เก้าอี้ในบ้านเก่าหมดแล้ว หากหลังจากนี้มันผุพังก็ซื้อใหม่เสีย หรือจะปล่อยมันทิ้งไว้ รอข้ากลับมาซ่อมก็ได้”

หากเก้าอี้เสียก็ปล่อยมันทิ้งไว้ รอเขากลับมาค่อยซ่อมอย่างนั้นหรือ ตอนที่เขากลับมา จะยังเป็นหูเฟิงเช่นตอนนี้ใช่หรือไม่

เมื่อเห็นนางไม่ตอบรับ หูเฟิงก็เงยหน้ามองนางอีก “เจ้าเป็นอะไรไป ไม่อยากให้ข้าไปหรือ” มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ

ไป๋จื่อรีบตอบรับเสียงหนึ่ง ทำหน้าตาเหมือนไม่รู้สึกอะไร “เชอะ…หลงตัวเองให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ข้าไม่ได้อาลัยอาวรณ์เสียหน่อย”

หูเฟิงวางเก้าอี้ในมือลง แล้วเดินไปตรงหน้านาง จับจ้องที่ใบหน้าเล็กเจือสีแดงระเรื่อ “ไยเจ้าถึงหน้าแดง”

นางรีบจับแก้มของตนเอง “ใคร ใครหน้าแดง ข้าก็แค่ร้อน”

เขาจงใจร้องอ๋อยาวๆ เสียงหนึ่ง มองนางคล้ายยิ้ม คล้ายไม่ยิ้ม แล้วยื่นมือไปจับศีรษะของเด็กสาว “เจ้าร้อนนี่เอง ที่แท้เด็กสาวอย่างเจ้าก็กลัวร้อนสินะ!”

มือของเขาใหญ่มาก ท่าทางของเขาก็อ่อนโยนมากเช่นกัน แทบจะสัมผัสนางเบาๆ เท่านั้น ทว่านาคล้ายกับรู้สึกได้ถึงความร้อนจากฝ่ามือของเขา และความร้อนนั้นก็แผดเผาใบหน้าของนางจนร้อนฉ่าขึ้นเรื่อยๆ

หูเฟิงรู้สึกพอใจกับปฏิกิริยาของนางมาก รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจึงเฉิดฉายขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงหมุนกายไปซ่อมเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ต่อ

ไป๋จื่อตั้งสติ เก็บความรู้สึกแปลกประหลาดพวกนั้นไป นางเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบข้าง จึงเข้าไปใกล้ๆ หูเฟิง ถามเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าอยู่ในค่ายทหาร เจ้าไม่เคยเจออาอู่จริงหรือ”

ชายหนุ่มหยุดมือ แล้วเงยหน้ามองไป๋จื่อ “อาอู่? เมื่อก่อนเขาเคยอยู่ในค่ายทหารเหมือนกันหรือ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา