ชายหนุ่มสองคนกรูไปข้างหน้า หมอเฉินเองก็รีบตามเข้าไปตรวจดูเช่นกัน เขาผ่อนลมหายใจเพราะความโล่งอกหลังจากจับชีพจรดูแล้ว “ก่อนหน้านี้เขาให้เลือดมากเกินไป เดิมทีก็ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว บวกกับให้เลือดเข้าไปอีก จึงทำให้เลือดลมไหลเวียนติดขัด อีกทั้งเหนื่อยล้าเป็นเวลานาน”
“เช่นนั้นเขาจะเป็นอะไรหรือไม่” ชายหนุ่มรียถาม
หมอเฉินยิ้มพลางโบกมือ “ไม่หรอก อีกเดี๋ยวข้าจะนำยามาให้เขา บำรุงร่างกายสักหน่อย ไม่นานเขาก็จะกลับมาแข็งแรงดังเดิมแล้ว”
เขากล่าวกับชายหนุ่มคนที่ให้เลือดอีกว่า “เจ้าเองก็ต้องบำรุงร่างกายนะ ข้าเห็นเจ้าให้เลือดไปไม่น้อยเลย”
ชายหนุ่มรีบโบกมือ “ไม่ต้องหรอกขอรับ ท่านให้หมอหนุ่มก็พอแล้ว ข้าร่างกายแข็งแรง แค่ให้เลือดย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
หมอเฉินไม่พูดจามากความกับอีกฝ่ายอีก เขาหมุนกายไปหยิบข้าวของที่ไป๋จื่อยัดเข้าไปในกระเป๋าผ้า
ที่แท้ในกระเป๋าใบนี้ของเขาไม่ได้ใส่เงินหรือตั๋วเงินเอาไว้ แต่กลับใส่ข้าวของแปลกประหลาดเหล่านี้อีกไว้ต่างหาก มิน่าเล่าเขาถึงไม่ยอมให้ดู
หลังจากเก็บของเรียบร้อย หมอเฉินก็ให้พวกเขาทั้งสองคนอยู่ที่นี่ก่อน ส่วนเขากลับไปยังกระโจมหลังใหญ่ที่อยู่ติดกัน
ครึ่งชั่วยามให้หลัง มู่หยางฟื้นขึ้นมาแล้ว เขามองยอดกระโจมที่เพิ่งปะรูรั่วอย่างดี ความเจ็บปวดทั่วร่างทำให้เขาครางออกมาอย่างอดไม่อยู่ เจ็บ เจ็บเหลือเกิน ดูจากความรู้เจ็บเช่นนี้แล้ว ท่าทางเขาจะยังมีชีวิตอยู่
“นายกองมู่ ท่านตื่นเสียที” นายทหารสองคนเห็นมู่หยางฟื้นแล้ว ดวงตาของทั้งสองคนพลันชุ่มชื้น หยดน้ำตาไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า
“เหตุใดต้องร้องได้ ข้ายังไม่ตายไม่ใช่หรือ” เขายกมือขึ้นจับหน้าอกของตนเอง บริเวณนั้นไม่มีผ้าพันแผล ไม่ใช่ว่าบาดเจ็บแล้วต้องพันแผลหรือไร
“ลูกธนูเล่า” เขาถาม
ทั้งสองคนพยักหน้า “ดึงไปแล้วขอรับ ข้าเป็นคนดึงออกมาเองกับมือ”
“ดึงลูกธนูออกมาแล้ว แต่ข้ายังไม่ตายหรือนี่” มู่หยางถาม เขาเคยดึงลูกธนูให้สหายคนหนึ่งเช่นกัน ทว่าทุกคนล้วนตายตกอย่างไม่มีข้อยกเว้น
“หมอหนุ่มคนนั้นรักษาให้ท่านขอรับ วิชาแพทย์ของเขาเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่ง ท่านแม้กระทั่งหัวใจหยุดเต้นไปหลายครั้ง นางก็ยังช่วยชีวิตท่านกลับมาได้ อีกทั้งยังกล่าวว่าหลังจากนี้ท่านจะไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรเลยแม้สักนิดเดียว” ชายหนุ่มกล่าว
นายกองมู่หันไปมอง เขาเห็นเพียงคนผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียง รูปร่างเล็กและผอม ไม่ต่างอะไรกับสตรีเพศ
“หลับอยู่หรือ” เขาเอ่ยถาม
นายทหารหนุ่มอีกคนรีบพูดขึ้นมา “ไม่ใช่หลับหรอกขอรับ เขาสลบไปต่างหาก เพราะเขาใช้เลือดของตัวเอง เติมเข้าไปในร่างกายของท่าน บวกกับทำการรักษาให้ท่าน อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป ครั้นฝืนทนต่อไปไม่ไหว จึงสลบไสลไปเช่นนี้”
ชายหนุ่มอีกคนรีบพูดต่อ “แต่ท่านหมอเฉินบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร บำรุงร่างกายสักหน่อยก็หายดีแล้วขอรับ”
มู่หยางพยักหน้า แม้จะไม่เข้าใจว่าอะไรคือการที่เลือดของอีกฝ่ายมาอยู่ในร่างของตน แต่อย่างไรเสียหมอหนุ่มผู้นี้ก็ช่วยชีวิตของเขาไว้ ทั้งยังดูแลเขาอย่างดี เขาต้องขอบคุณผู้มีพระคุณผู้นี้แน่นอน
“นายกองมู่ ท่านหิวหรือไม่ ข้าจะไปหาอะไรมาให้ท่านกิน”
มู่หยางรู้สึกเจ็บ ไม่ได้รู้สึกหิว แต่เขารู้ว่าหากอยากจะหายดี ก็จำต้องกินอะไรเข้าไปบ้าง ไม่เช่นนั้นร่างกายจะยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ เขาต้องหายดีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จำเป็นจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะจิ้นอ๋องต้องการเขา กองทหารหุ้มม้าเกราะต้องการเขา
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเอ่ย “ข้าไปเอง หมอหนุ่มบอกไว้ว่าหากนายกองมู่หิว ก็ให้เขากินน้ำแกงเสียหน่อย เพราะยังกินอย่างอื่นไม่ได้ ต้องดูอาการในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง”
“เช่นนั้นก็ได้ เจ้าไปนำน้ำแกงข้าวจากหน่วยเสบียงมาสักหน่อย ข้าจะรออยู่ที่นี่”
หลังจากออกมาจากกระโจมแล้ว ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังหน่วยเสบียง ภายในนั้นกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหาร เขาไปหาจู่ซื่อทันทีที่เข้าไปข้างใน “ข้าเป็นคนจากกองทหารม้าหุ้มเกราะ นายกองมู่ของพวกข้าได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้กินได้เพียงน้ำแกงข้าวเท่านั้น พวกเจ้ามีบ้างหรือไม่”
หูเฟิงที่กำลังหั่นผักอยู่พลันหยุดมือ ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่ม “เจ้าว่าอะไรนะ นายกองมู่ได้รับบาดเจ็บหรือ สาหัสหรือไม่”
คนผู้นั้นคุ้นหน้าหูเฟิง แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน จึงถามว่า “เจ้ารู้จักนายกองมู่ของพวกข้าด้วยหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
อัพเดทตอนใหม่เมื่อไรค่ะ...
คุณแอดมินผู้ใจดี ช่วยอัพเดทตอนใหม่เยอะๆเลยนะคะ ชอบมาก สนุก พลีสสสสส...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...
เอาใจช่วยหูเฟิงทวงคทนอำนาจนะ...
ถ้าพ่อไม่ถูกเมียรังแกจนเกือบตายก็คงไม่ตื่นสินะ...
ดีใจกับเสี่ยวเฟิง...