คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา นิยาย บท 77

ตอนที่ 77 วันที่ดี

ไม่ว่าอย่างไร กลิ่นหอมเข้มข้นของเนื้อกระต่ายก็ทำให้คนได้กลิ่นเคลิบเคลิ้ม ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นอย่างมากแล้ว

นางแม้กระทั่งได้ยินเสียงคนข้างนอกกำแพงลานบ้านร้องโอดโอย กล่าวว่าไม่รู้บ้านใดทำอาหาร หอมเตะจมูกไปหมดแล้ว

ไป๋จื่อตักเนื้อกระต่ายในกระทะขึ้นมาทั้งหมด จากนั้นก็ใส่ลงในชามกระเบื้องขนาดใหญ่ที่สุดในห้องครัวจนเต็ม

ข้าวสารที่หุงอยู่บนเตาเล็กด้านข้างก็สุกดีแล้ว ไป๋จื่อและหูเฟิง คนหนึ่งยกกับ คนหนึ่งยกข้าว ท่านลุงหูและจ้าวหลานนั่งคุยกัน รอกินข้าวข้าวอยู่ในโถงเรือน ภาพเช่นนี้คล้ายกับครอบครัวหนึ่งจริงๆ พ่อแม่พร้อมหน้า ลูกชายและลูกสาวเพียบพร้อม

ท่านลุงหูนึกถึงภรรยาและบุตรชายที่จากไปแล้ว ในใจรู้สึกเจ็บปวดระคนยินดี สวรรค์ดีต่อเขายิ่งนัก ให้เขาได้พบกับหูเฟิง ในที่สุดบั้นปลายชีวิตของเขาก็ไม่ต้องแก่ตายเพียงลำพัง

จ้าวหลานเห็นข้าวสวยชามหนึ่งในมือของบุตรสาว จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “จื่อเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าไม่ต้มโจ๊กเล่า”

ไป๋จื่อวางข้าวสวยในมือลง ยิ้มพลางกล่าว “ท่านแม่ ตอนนี้พวกเราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว วันนี้ท่านหมอลู่กลับมา จะต้องนำเงินขายโสมกลับมาให้พวกเราแน่ ต่อจากนี้พวกเราจะกินแต่ข้าวสวย ไม่กินน้ำแกงข้าวแล้วเจ้าค่ะ”

ผู้เป็นแม่หัวเราะเพราะการหยอกเย้าของเด็กสาว “เจ้าน่ะ เรื่องยังไม่เกิดขึ้นเลย ก็ปักใจเชื่อไปเช่นนี้เสียแล้ว หากวันนี้ท่านหมอลู่ไม่ได้นำเงินกลับมาให้เล่า เช่นนั้นพรุ่งนี้ท่านลุงหูกับหูเฟิงจะกินอะไร”

เด็กสาวตักข้าวให้จ้าวหลานถ้วยหนึ่ง กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หากเป็นโสมคุณภาพทั่วไปยังพอเป็นไปได้ แต่นั่นเป็นโสมภูเขาอายุร้อยปี หลายคนอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้ เจ้าของร้านยานั่นเห็นเข้า ไหนเลยจะให้ท่านหมอลู่วิ่งเต้นอีกรอบ ต้องให้เงินในวันนี้แน่นอนเจ้าค่ะ”

แม้นางจะไม่ได้ทำการค้าขาย แต่ก็รู้ความคิดของคนค้าขายอยู่บ้าง เมื่อเห็นของดีอย่างโสมภูเขาร้อยปีเช่นนั้น พ่อค้าคนหนึ่งไม่มีทางปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปแน่ ย้อมต้องคว้าของดีนี้ไว้ ครั้นถึงเวลาที่เหมาะสมก็ค่อยขายออกไปในราคาสูง

ท่านลุงหูยิ้ม “ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่ได้เงินกลับมาจริงๆ ทว่าพวกเราก็ไม่หิว ไป๋จื่อพูดถูกต้อง พวกเราลำบากมาทั้งชีวิต ยากจนข้นแค้นมาตลอด ในที่สุดวันนี้ก็มีเงินแล้ว ย่อมไม่อาจลำบากตนเองต่อไปได้อีก ต่อจากนี้พวกเราควรกิน ควรดื่ม ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จะได้ไม่เสียแรงที่เกิดมาในชาตินี้”

จ้าวหลานเห็นว่าหูจ่างหลินไม่เหมือนกับพูดเอาใจ ในใจของนางจึงผ่อนคลายขึ้นมาก นางยิ้มว่า “พี่หูพูดถูก พวกเราลำบากมาทั้งชีวิตแล้ว ต่อไปไม่อาจลำบากลูกได้อีก” นางมองไป๋จื่อที่อยู่ข้างกาย แววตาอ่อนโยนดุจสายน้ำ ในใจหวานราวกับเติมน้ำผึ้ง

สกุลไป๋

หลิวซื่อยกชามเนื้อผัดไฟแดงมาที่โต๊ะ ก่อนจะตักโจ๊กใส่ถ้วยให้ทุกคน

ทั้งครอบครัวนั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง เจ้าใหญ่มือหักทั้งสองข้าง ทำได้เพียงอาศัยหลิวซื่อป้อนทีละคำ หลิวซื่อเองคิดจะกินบ้างสักคำ เจ้าใหญ่ก็เรียกนางอีก ให้นางรีบป้อนเขา กลัวว่าหากตนเองกินช้า เจ้ารองและฟู่กุ้ยจะกินเนื้อจนหมด

หลิวซื่อก็ร้อนใจเช่นกัน สุดท้ายแล้วนางกินไปไม่ถึงสองคำ ชามใส่เนื้อขนาดใหญ่ก็เกือบจะเห็นก้นแล้ว เจ้ารองคีบเนื้อใส่ถ้วยตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่ายังไม่ลืมคีบใส่ถ้วยของไป๋ฟู่กุ้ยด้วย

ไป๋ต้าเป่าและไป๋เสี่ยวเฟิงไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานานแล้ว บัดนี้เห็นเนื้อเข้า ไหนเลยจะยังเห็นบิดามารดาอยู่ในสายตา หญิงชรายิ่งเห็นแก่ตัว ในถ้วยตนเองมีเนื้อกองอยู่จนเต็ม แต่ก็ยังไม่ลืมคีบจากในชามขนาดใหญ่มาใส่ปากทีละชิ้น

หลิวซื่อร้อนรนแล้ว นางยื่นตะเกียบไปคีบเนื้อผัดไฟแดงชิ้นสุดท้ายในชามขึ้นมา ครั้นเพิ่งคิดจะใส่ปากตนเอง เจ้าใหญ่กลับเรียกนาง “เอาไปไหนล่ะ ปากข้าอยู่ที่นี่”

……….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา