...
“หาวว...” ลู เซียวเหยา หาวขึ้นมาในขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะของเลขา
เขาจ้องไปยังประตูห้องของผู้บริหารเป็นครั้งคราว และถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนออกมา
เขาได้แต่คิดว่าเขาคงเป็นน้องชายที่น่าเวทนาที่สุดแล้ว
เขาหิวมากเสียจนตอนนี้ท้องของเขาหยุดร้องไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามคนทั้งคู่ที่อยู่ด้านในก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเริ่มกินอาหาร
เขาเริ่มคิดว่าหรือเขาควรจะออกไปหาอะไรกินเองข้างนอกดี หรือควรจะเคาะประตูขัดขวางช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มของพวกเขาดี?
ถ้าเขาเลือกข้อแรก เขาก็คงจะไม่ได้กินกุ้งซอสมะเขือเทศฝีมือป้าวู
แต่ถ้าเขาเลือกข้อหลัง เขาก็คงจะถูกพี่ใหญ่ฆ่าตายเอาเป็นแน่
เมื่อเปรียบเทียบดูเหตุผลสองข้อนั้นแล้ว เขาก็ตัดสินใจได้
เขายืนขึ้นเดินไปที่ประตูห้องทำงานของผู้บริหารเตรียมที่จะเคาะประตูอย่างไม่ลังเล
แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันได้วางมือเคาะ ประตูก็เปิดออก
ทัง โรลชูว กำลังจะออกมาเรียก ลู เซียวเหยา ให้ไปกินข้าว เธอตกใจที่เห็นชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าประตูเมื่อเธอเปิดประตูออก
ภาพตรงหน้าช่างตลกเสียจริง เธอมองไปที่ ลู เซียวเหยา ที่มือยังคงค้างอยู่กลางอากาศ “เซียวเหยา นายกำลังทำการแสดงเกี่ยวกับจิตวิญญาณอยู่งั้นเหรอ?”
ลู เซียวเหยา ดึงมือของเค้ากลับมาก่อนจะยิ้มแห้ง “พี่สะใภ้คุณช่างมีจินตนาการที่ล้ำลึกเสียจริง”
ทัง โรลชูว เลิกคิ้วขึ้น “ในฐานะของคนที่ทำงานอยู่ในวงการบันเทิง พวกเราต้องใช้จินตนาการในการเขียนหัวข้อข่าวยังไงล่ะ”
“พี่สะใภ้ ข้อโต้แย้งของคุณดูมีจะข้อบกพร่องนะ”
“มันไม่มีข้อบกพร่องอะไรเสียหน่อย” ทัง โรลชูว หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องทำงานก่อนจะพูดต่อ “ในฐานะนักข่าวสายบันเทิง บางครั้งเราก็จำเป็นต้องใช้จินตนาการของพวกเราเพื่อที่จะดึงชิ้นส่วนเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อร้อยเรียงเป็นเรื่อง ๆ หนึ่ง”
“นั่นมันสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ใช่นักข่าวสายบันเทิงเสียหน่อย พี่สะใภ้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่รักสายฟ้าแลบ: เจ้าสาว ของ คุณ พอจะเป็น ฉันได้ไหม