ระหว่างเส้นทางของแม่น้ำแห่งกาลเวลาอันยาวไกลคล้ายจะมีท่าเรือที่ต้นหลิวโน้มกิ่งอยู่หลายต่อหลายแห่ง ในโรงเตี๊ยมแห่งกาลเวลาที่ตั้งอยู่ทุกๆ ช่วงระยะทางหนึ่งจะต้องมีคนทิ้งเรือจากไป บ้างก็ลงเรือเดินทาง แล้วการพบและการจากลาครั้งใหม่ก็จะมีขึ้นตรงท่าเรือถัดไป
ก็เหมือนเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้หนักเอาเบาสู้คนนั้นที่ลาจากทุกคนไปไกลตั้งแต่ท่าเรือท่าก่อน
ฟ้าเริ่มสาง ครอบครัวหลี่เอ้อร์สามคนที่จัดเตรียมสัมภาระไว้เรียบร้อยแล้วบอกลากับทุกคนตรงตีนเขาตงหัว เมื่อเทียบกับตอนแยกจากกับครอบครัวครั้งแรกที่เมืองเล็ก ครั้งนี้หลี่ไหวไม่ได้ทำตัวแล้งน้ำใจ ไม่ได้แค่รู้สึกว่าจะไม่มีคนมาคอยควบคุม สามารถกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลและน่องไก่ได้ทั้งวันอีกแล้ว แต่มีอารมณ์เศร้าหมองอยู่หลายส่วน จะอย่างไรซะเด็กชายก็โตแล้ว
หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยและชุยตงซานเด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาชวนมองต่างก็มาส่งพวกเขา
สตรีแต่งงาแล้วตาแดงก่ำ ไม่ยอมปล่อยมือหลี่ไหว พูดจู้จี้ด้วยคำพูดทำนองว่าอากาศหนาวแล้วต้องสวมเสื้อผ้าหนาชั้น ต้องกินให้อิ่มนอนให้หลับ ฯลฯ ไม่หยุดปาก หลี่ไหวรับฟังเงียบๆ หลี่เอ้อร์ยืนซื่อบื้ออยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ส่วนหลี่หลิ่วที่หลังจากช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าซึ่งพอจะเรียกได้ว่าชุดใหม่เอี่ยมให้หลี่ไหวเรียบร้อยแล้วก็เงยหน้ามองไปทางกรอบป้ายของสำนักศึกษาซานหยา ไม่สนใจสายตามองประเมินจากคนวัยเดียวกันสองคนอย่างอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย
ในที่สุดสตรีแต่งงานแล้วก็ยอมตัดใจจากไปได้ เมื่อเดินออกไปแล้วก็แข็งใจไม่หันกลับมามองอีก หลี่เอ้อร์ตบศีรษะของหลี่ไหวเบาๆ ก่อนจะเดินตามฝีเท้าภรรยาไปพร้อมรอยยิ้ม หลี่หลิ่วตบไหล่น้องชาย จากนั้นหันไปยอบตัวให้กับทุกคนแล้วก้าวเดินจากไปอย่างแช่มช้า
หลี่ไหวเตะหลินโส่วอีเบาๆ หนึ่งที ฝ่ายหลังกำจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในกำมือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ เด็กหนุ่มผู้เย็นชาส่ายหน้า มองแผ่นหลังของเด็กสาวพลางตอบงึมงำ “ไว้คราวหน้าเถอะ”
หลี่ไหวไม่ต้องการเผยอารมณ์เศร้าสร้อยต่อหน้าพวกเขาจึงฝืนข่มกลั้นความทุกข์ในใจ หาหัวข้อสนุกสนานมาพูดคุยพลางหัวเราะหึหึ “ชุยตงซาน หากเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน ส่วนพวกเราล้วนเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉี แล้วเป่าผิงก็เรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์อาน้อย เจ้ากับพวกเราจะแบ่งลำดับศักดิ์กันอย่างไร?”
ชุยตงซานที่ยืนสองมือไพล่หลังประดุจต้นไม้หยกตระหง่านรับสายลม ตอบอย่างลำพองใจ “ข้าเป็นถึงลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกสำนักของอาจารย์ข้า ลำดับศักดิ์สูงมาก สูงกว่าภูเขาตงหัวแห่งนี้ตั้งหนึ่งแสนแปดพันลี้”
หลี่ไหวตะลึง “หรือต้องเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่ใหญ่?”
“ศิษย์พี่ใหญ่?”
ชุยตงซานร้อนรนขึ้นมาทันใด “ทั้งตระกูลเจ้าสิเป็นศิษย์พี่ใหญ่! ข้าผู้อาวุโสไม่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ส่วนอย่างอื่นจะเรียกอะไรก็ตามใจพวกเจ้า”
หลี่ไหวมึนงง “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกเจ้าว่าศิษย์พี่น้อย? แต่ไม่ค่อยชินปากเท่าไหร่เลยนะ”
ดวงตาชุยตงซานเป็นประกาย “ศิษย์พี่น้อยดีสิ ทั้งเคารพผู้ใหญ่ ทั้งให้ความใกล้ชิดสนิทสนม วันหน้าพวกเจ้าก็เรียกข้าว่าศิษย์พี่น้อยแล้วกัน อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย พวกเจ้าเองก็เหมือนกัน นับจากวันนี้ไปไม่ต้องเรียกว่าคุณชายแล้ว ห่างเหินกันเกินไป เรียกข้าว่าศิษย์พี่น้อยเหมือนพวกหลี่เป่าผิงก็แล้วกัน”
หลี่เป่าผิงแค่นเสียงเย็น “ข้าไม่ได้รับปากซะหน่อย!”
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงพุ่งตัวออกจากซุ้มประตูหิน หลี่ไหวตะโกนเรียก “หลี่เป่าผิง เรายังมีเรียนต่อนะ!”
“ลงโทษให้คัดบทความ เมื่อคืนข้าเขียนไว้เสร็จแล้ว จะกลัวอะไร! ข้าจะไปเดินเล่นแถวนี้ให้ทั่วคนเดียวก่อน วันหน้าจะได้พาอาจารย์อาน้อยไปเดินเล่นได้ถูก” หลี่เป่าผิงเชิดหน้าสูง วิ่งตะบึงตามนกพิราบกลุ่มหนึ่งที่บินอยู่กลางท้องนภาสีครามสดใสไปตลอดทาง เสียงนกพิราบร้องดังเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ก้องสะท้อนกังวานไปทั่วเมืองหลวงของต้าสุย
หลี่ไหวแผดเสียงตะโกนตามหลัง “งั้นก็พาข้าไปด้วยสิ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!