นาทีถัดมา จื้อกุยก็ถูกบีบให้ออกไปจากห้อง หวนกลับไปยังระเบียงของดาดฟ้าอีกครั้ง นางใช้นิ้วโป้งลูบซีกแก้ม บนแก้มมีรอยเลือดจางๆ จากการถูกปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งกรีด
เป็นขอบเขตสิบสี่ในตำนานจริงเสียด้วย!
ซ่งจี๋ซินรินน้ำชาสองถ้วย ใช้นิ้วมือผลักถ้วยชากระเบื้องขาวใบหนึ่งไปให้เฉินผิงอันเบาๆ
อุปกรณ์ชงชาบนโต๊ะนี้ได้มาจากที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาของหลงโจว
ไม่ถึงหนึ่งเค่อ
เฉินผิงอันก็กลับมาที่หัวเรือ
ทิ้งไว้เพียงอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีสีหน้าเปลี่ยวเหงาให้เหม่อมองถ้วยชาที่อยู่เบื้องหน้าเพียงลำพัง
จ้าวเหยารอคอยให้เฉินผิงอันกลับมาอยู่ตลอด พอเห็นว่าเขากลับมาแล้วก็ใช้เสียงในใจถามว่า “ผู้ฝึกกระบี่อีกสองคนล่ะ?”
อันที่จริงครั้งแรกที่จ้าวเหยาไปพบเฉินผิงอัน ใช่ว่าเขาจะไม่กังวล เพราะอดกังวลไม่ได้ว่าเฉินผิงอันอยากจะเก็บรวบรวมกระบี่เซียนไท่ป๋ายให้ครบ
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉ เฝ่ยหรานแห่งเปลี่ยวร้าง”
จ้าวเหยาขมวดคิ้ว “ทำไมถึงเป็นเฝ่ยหราน”?
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน วันหน้าเจ้าก็ลองไปถามเองได้ ทุกวันนี้เขาฝึกตนอยู่ในอารามเสวียนตูใหญ่ เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว”
จ้าวเหยายิ้มเจื่อน “ทุกวันนี้เพิ่งจะเป็นขอบเขตหยกดิบ เจ้าจะให้ข้าบินทะยานไปใต้หล้ามืดสลัว เรื่องของปีมะโว้แล้ว ไม่สู้รอให้อาจารย์ป๋ายย้อนกลับมายังไพศาลยังจะเป็นไปได้มากกว่า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อสามารถแหกกฎของใต้หล้าห้าสีกลับมายังบ้านเกิดได้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้แหกกฎไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวด้วยก็ได้”
จ้าวเหยาสะอึกอึ้งไปทันที
คุยกับเจ้าคนที่ชอบจดจำความแค้นผู้นี้ ไม่เคยสบายใจได้เลยจริงๆ
จ้าวเหยาเอ่ยประโยคหนึ่งตามมารยาท “กลับเมืองหลวงด้วยกันไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะหวนกลับไปยังสถานที่ที่เคยไปเยือนทางใต้เสียหน่อย”
จื้อกุ้ยสีหน้าเฉยเมย หรี่ดวงตาที่เป็นสีทองทั้งคู่ลง หลุบตาลงมองเฉินผิงอันจากที่สูง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้าในเวลานี้จะต้องทำให้คนผิดหวัง”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เงยหน้ามองสตรีผู้นั้น ไม่ได้อธิบายอะไร เดิมทีกับนางก็ไม่ได้มีอะไรให้ต้องพูดคุยกันมากมายอยู่แล้ว
แต่พอได้ยินประโยคนี้ของจื้อกุย เฉินผิงอันกลับหัวเราะ
อย่างน้อยที่สุดหลายปีที่จากบ้านเกิดมานี้ ติดตามซ่งจี๋ซินร่อนเร่ไปทั่ว ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้ทำให้อาจารย์ฉีผิดหวัง
ในสงครามใหญ่ นางทั้งไม่เคยหันไปสวามิภักดิ์เข้าร่วมกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กลับกันยังเป็นฝ่ายออกไปจากบนบก ต่อสู้กับปีศาจใหญ่เฟยเฟยราชาบนบัลลังก์เก่า ขัดขวางวิชาอภินิหารแห่งเวทน้ำของอีกฝ่ายที่พยายามจะทำให้น้ำท่วมกลบทับนครมังกรเฒ่า เป็นเหตุให้โดนกระบองของจูเยี่ยนบรรพบุรุษย้ายภูเขาตีแสกหน้าไปหลายที
หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลงก็ไม่เคยบุกเข้าไปที่กุยซวีอย่างบุ่มบ่ามเพื่อพยายามที่จะก่อสำนักตั้งตนเป็นอิสระอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างซึ่งไร้คนพันธนาการ
ไม่ได้ช่วงชิงอะไรกับตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่เพียงเพื่อสถานะของเจ้าผู้ครองโชคชะตาน้ำ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้อาละวาดฉีกหน้าแตกหักกับศาลบุ๋น
ที่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่ได้หลอกทำร้ายซ่งจี๋ซิน ในเมื่อนางที่อยู่ตรอกหนีผิงสามารถขโมยกินปราณมังกรบนร่างของซ่งจี๋ซินได้ ถ้าอย่างนั้นนางในเวลานี้ก็สามารถเอาปราณมังกรกลับมาหล่อเลี้ยงซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองได้เช่นกัน
หากนางทำเช่นนี้ก็จะเกี่ยวพันไปถึงสถานการณ์ของโชคชะตาในหนึ่งแคว้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์ที่หนึ่งแคว้นของสกุลซ่งต้าหลีแบ่งออกเป็นสอง สุดท้ายเป็นการคุมเชิงกันของเหนือและใต้
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ กุมหมัดบอกลากับแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะคนนั้น
จื้อกุยรอให้เจ้าหมอนั่นจากไปแล้วถึงกลับไปที่ห้อง พบว่าซ่งจี๋ซินใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางจึงนั่งลงตามสบาย ถามว่า “เจรจากันไม่สำเร็จหรือ?”
ซ่งจี๋ซินไม่พูดอะไรสักคำ เขาเงียบอยู่นานมาก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ไปเมืองหลวงแล้ว ไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย
ศิษย์พี่เหมาได้ออกจากตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแล้ว อีกทั้งหลังผ่านการประชุมศาลบุ๋นไปก็ไม่ได้ควบตำแหน่งเป็นเจ้ากรมพิธีการและเจ้าขุนเขาสำนักศึกษา แต่มารับตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาคนใหม่ของทวีปอื่น
เฉินผิงอันปรากฏตัวที่ยอดเขาของภูเขาตงซานในสำนักศึกษา ยืนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ทอดสายตามองไกลไปยังวังหลวง เกาเซวียนองค์ชายในอดีตได้กลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าสุยแล้ว
ปีนั้นในเมืองเล็กมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน เฉินผิงอันได้เหรียญทองแดงแก่นทองมาถุงแรก หากว่ากันในความหมายที่เข้มงวดแล้วก็คือเป็นเงินที่ได้มาจากมือของเกาเซวียน บวกกับอีกสองถุงที่กู้ช่านทิ้งไว้ให้ เขาจึงสามารถเก็บรวบรวมเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามประเภทอย่างเงินก้งหย่าง เงินอิ๋งชุน และเงินยาเซิ่งได้อย่างละหนึ่งถุงพอดี และเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงนี้ อันที่จริงต่างก็ถือเป็นโชควาสนาที่เฉินผิงอันพลาดไป แรกสุดคือหนีชิวตัวที่มอบให้กู้ช่าน ภายหลังได้เจอกับท่านอาหลี่ ขณะกำลังต่อรองราคากลับถูกเกาเซวียนชิงตัดหน้าซื้อปลาหลีสีทองตัวนั้นไป บวกกับข้องราชามังกรที่มอบให้เปล่าๆ อีกใบหนึ่ง
ภายหลังลูกหลานสกุลเกาเมืองเกอหยางต้าสุยผู้นี้ได้ใช้สถานะตัวประกันจากการที่สองแคว้นเป็นพันธมิตรกันมาอยู่ที่ราชวงศ์ต้าหลี และเคยมาศึกษอยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นนานหลายปี
ตอนอยู่ในสำนักศึกษาซานหยา เกาเซวียนก็มักจะมาตกปลากับอวี๋ลู่บ่อยๆ และแท้จริงแล้วก็สนิทกับพวกเป่าผิง หลี่ไหวมาก
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปหาเกาเซวียนที่วังหลวงต้าสุย ตอนนี้ฮ่องเต้ที่เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานพระองค์นี้กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจฎีกาในห้องทรงพระอักษร
ขันทีอายุมากที่ถูกวงการต้าสุยเรียกขานอย่างลับๆ ว่าเป็น ‘เสนาบดี’ สองรัชสมัยเฝ้าอยู่หน้าประตู จากนั้นก็มีผู้ถวายงานคนหนึ่งมาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ดูเหมือนว่าจะชื่อไช่จิงเสิน
เฉินผิงอันไม่สนิทกับเขา แต่ดูเหมือนว่าชุยตงซานและท่านอาหลี่ต่างก็สนิทกับเขามาก
ต่อมาเขาก็แค่ไปเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบของสำนักศึกษาครู่หนึ่ง ครั้นเรือนกายก็จางหายไป ออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง
ปีนั้นเฉินผิงอันฟังคำบอกเล่าจากจางซานเฟิง บอกว่ายุคบรรพกาลมีเทพหญิงที่ทำหน้าที่ป่าวประกาศการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ คอยดูแลบุปผาพืชพรรณในใต้หล้า ผลปรากฏว่าในแคว้นกู่อวี๋มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ไม่งอกงามร่วงโรยตามเวลาที่กำหนด เทพหญิงจึงออกโองการทำให้ต้นไม้ต้นนี้ไม่อาจมีสติปัญญา จึงยากยิ่งที่จะฝึกตนกลายเป็นภูตหล่อหลอมเรือนกายได้สำเร็จ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่าทึ่มเหมือนตอไม้อวี๋ในโลกยุคหลังเกิดขึ้น
หากเฉินผิงอันจำไม่ผิด นักเล่านิทานแซ่ฉู่ที่อยู่ทางทิศใต้ ปีนั้นมีตบะแค่ขอบเขตห้าจริงๆ นี่จึงไม่สอดคล้องกับปีที่มันดำรงอยู่บนโลก
ผู้ฝึกตนที่อยู่บนภูเขามีคำกล่าวถึงอายุลวงและอายุจริง วิธีการคำนวณไม่ค่อยเหมือนกับอายุของคนล่างภูเขา ถ้าอย่างนั้นภูติต้นอวี๋โบราณตนนี้จึงเป็นดั่งคำว่าอายุลวงหลายพันปี แต่อายุแท้จริงกลับไม่มากพอตามแบบฉบับแล้ว
เวลานั้นเฉินผิงอันอ่านตำรามาน้อย วิสัยทัศน์ตื้นเขิน ก่อนหน้านี้ยังเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายคือเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่อวี๋ ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่คนแซ่ฉู่คนเดียว บวกกับเรื่องเล่าที่จางซานเฟิงเล่าให้ฟัง รวมไปถึงเรื่องที่อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองมาจากแคว้นกู่อวี๋ก็น่าจะพอคาดเดาได้แล้ว
ภูตในใต้หล้านี้ ขอแค่หลอมเรือนกายได้สำเร็จ เรื่องของชื่อจริงก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
หากใช้วิธีการอธิบายตัวอักษรตามแบบของอาจารย์สวี่แห่งเส้าหลิง ตัวอักษรฉู่ (楚) ด้านบนคืออักษรหลิน (林) ด้านล่างคืออักษรผี่ (疋) อักษรผี่สามารถอธิบายได้ว่า ‘เท้า’ อักษรมู่ (木) สองตัวประกอบกันเป็นอักษรหลิน (林 คำว่าหลินหมายถึงป่า คำว่ามู่แปลว่าต้นไม้) ใต้ต้นไม้มีเท้า ราชครูแคว้นกู่อวี๋ผู้นั้นจึงใช้อักษรนี้มาเป็นแซ่ของตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!