สรุปเนื้อหา บทที่ 870.2 ดอกไม้บานตามลำดับ – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 870.2 ดอกไม้บานตามลำดับ ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
นาทีถัดมา จื้อกุยก็ถูกบีบให้ออกไปจากห้อง หวนกลับไปยังระเบียงของดาดฟ้าอีกครั้ง นางใช้นิ้วโป้งลูบซีกแก้ม บนแก้มมีรอยเลือดจางๆ จากการถูกปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งกรีด
เป็นขอบเขตสิบสี่ในตำนานจริงเสียด้วย!
ซ่งจี๋ซินรินน้ำชาสองถ้วย ใช้นิ้วมือผลักถ้วยชากระเบื้องขาวใบหนึ่งไปให้เฉินผิงอันเบาๆ
อุปกรณ์ชงชาบนโต๊ะนี้ได้มาจากที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาของหลงโจว
ไม่ถึงหนึ่งเค่อ
เฉินผิงอันก็กลับมาที่หัวเรือ
ทิ้งไว้เพียงอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีสีหน้าเปลี่ยวเหงาให้เหม่อมองถ้วยชาที่อยู่เบื้องหน้าเพียงลำพัง
จ้าวเหยารอคอยให้เฉินผิงอันกลับมาอยู่ตลอด พอเห็นว่าเขากลับมาแล้วก็ใช้เสียงในใจถามว่า “ผู้ฝึกกระบี่อีกสองคนล่ะ?”
อันที่จริงครั้งแรกที่จ้าวเหยาไปพบเฉินผิงอัน ใช่ว่าเขาจะไม่กังวล เพราะอดกังวลไม่ได้ว่าเฉินผิงอันอยากจะเก็บรวบรวมกระบี่เซียนไท่ป๋ายให้ครบ
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉ เฝ่ยหรานแห่งเปลี่ยวร้าง”
จ้าวเหยาขมวดคิ้ว “ทำไมถึงเป็นเฝ่ยหราน”?
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน วันหน้าเจ้าก็ลองไปถามเองได้ ทุกวันนี้เขาฝึกตนอยู่ในอารามเสวียนตูใหญ่ เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว”
จ้าวเหยายิ้มเจื่อน “ทุกวันนี้เพิ่งจะเป็นขอบเขตหยกดิบ เจ้าจะให้ข้าบินทะยานไปใต้หล้ามืดสลัว เรื่องของปีมะโว้แล้ว ไม่สู้รอให้อาจารย์ป๋ายย้อนกลับมายังไพศาลยังจะเป็นไปได้มากกว่า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อสามารถแหกกฎของใต้หล้าห้าสีกลับมายังบ้านเกิดได้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้แหกกฎไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวด้วยก็ได้”
จ้าวเหยาสะอึกอึ้งไปทันที
คุยกับเจ้าคนที่ชอบจดจำความแค้นผู้นี้ ไม่เคยสบายใจได้เลยจริงๆ
จ้าวเหยาเอ่ยประโยคหนึ่งตามมารยาท “กลับเมืองหลวงด้วยกันไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะหวนกลับไปยังสถานที่ที่เคยไปเยือนทางใต้เสียหน่อย”
จื้อกุ้ยสีหน้าเฉยเมย หรี่ดวงตาที่เป็นสีทองทั้งคู่ลง หลุบตาลงมองเฉินผิงอันจากที่สูง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้าในเวลานี้จะต้องทำให้คนผิดหวัง”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เงยหน้ามองสตรีผู้นั้น ไม่ได้อธิบายอะไร เดิมทีกับนางก็ไม่ได้มีอะไรให้ต้องพูดคุยกันมากมายอยู่แล้ว
แต่พอได้ยินประโยคนี้ของจื้อกุย เฉินผิงอันกลับหัวเราะ
อย่างน้อยที่สุดหลายปีที่จากบ้านเกิดมานี้ ติดตามซ่งจี๋ซินร่อนเร่ไปทั่ว ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้ทำให้อาจารย์ฉีผิดหวัง
ในสงครามใหญ่ นางทั้งไม่เคยหันไปสวามิภักดิ์เข้าร่วมกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กลับกันยังเป็นฝ่ายออกไปจากบนบก ต่อสู้กับปีศาจใหญ่เฟยเฟยราชาบนบัลลังก์เก่า ขัดขวางวิชาอภินิหารแห่งเวทน้ำของอีกฝ่ายที่พยายามจะทำให้น้ำท่วมกลบทับนครมังกรเฒ่า เป็นเหตุให้โดนกระบองของจูเยี่ยนบรรพบุรุษย้ายภูเขาตีแสกหน้าไปหลายที
หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลงก็ไม่เคยบุกเข้าไปที่กุยซวีอย่างบุ่มบ่ามเพื่อพยายามที่จะก่อสำนักตั้งตนเป็นอิสระอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างซึ่งไร้คนพันธนาการ
ไม่ได้ช่วงชิงอะไรกับตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่เพียงเพื่อสถานะของเจ้าผู้ครองโชคชะตาน้ำ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้อาละวาดฉีกหน้าแตกหักกับศาลบุ๋น
ที่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่ได้หลอกทำร้ายซ่งจี๋ซิน ในเมื่อนางที่อยู่ตรอกหนีผิงสามารถขโมยกินปราณมังกรบนร่างของซ่งจี๋ซินได้ ถ้าอย่างนั้นนางในเวลานี้ก็สามารถเอาปราณมังกรกลับมาหล่อเลี้ยงซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองได้เช่นกัน
หากนางทำเช่นนี้ก็จะเกี่ยวพันไปถึงสถานการณ์ของโชคชะตาในหนึ่งแคว้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์ที่หนึ่งแคว้นของสกุลซ่งต้าหลีแบ่งออกเป็นสอง สุดท้ายเป็นการคุมเชิงกันของเหนือและใต้
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ กุมหมัดบอกลากับแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะคนนั้น
จื้อกุยรอให้เจ้าหมอนั่นจากไปแล้วถึงกลับไปที่ห้อง พบว่าซ่งจี๋ซินใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางจึงนั่งลงตามสบาย ถามว่า “เจรจากันไม่สำเร็จหรือ?”
ซ่งจี๋ซินไม่พูดอะไรสักคำ เขาเงียบอยู่นานมาก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ไปเมืองหลวงแล้ว ไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย
ศิษย์พี่เหมาได้ออกจากตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแล้ว อีกทั้งหลังผ่านการประชุมศาลบุ๋นไปก็ไม่ได้ควบตำแหน่งเป็นเจ้ากรมพิธีการและเจ้าขุนเขาสำนักศึกษา แต่มารับตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาคนใหม่ของทวีปอื่น
เฉินผิงอันปรากฏตัวที่ยอดเขาของภูเขาตงซานในสำนักศึกษา ยืนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ทอดสายตามองไกลไปยังวังหลวง เกาเซวียนองค์ชายในอดีตได้กลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าสุยแล้ว
ปีนั้นในเมืองเล็กมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน เฉินผิงอันได้เหรียญทองแดงแก่นทองมาถุงแรก หากว่ากันในความหมายที่เข้มงวดแล้วก็คือเป็นเงินที่ได้มาจากมือของเกาเซวียน บวกกับอีกสองถุงที่กู้ช่านทิ้งไว้ให้ เขาจึงสามารถเก็บรวบรวมเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามประเภทอย่างเงินก้งหย่าง เงินอิ๋งชุน และเงินยาเซิ่งได้อย่างละหนึ่งถุงพอดี และเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงนี้ อันที่จริงต่างก็ถือเป็นโชควาสนาที่เฉินผิงอันพลาดไป แรกสุดคือหนีชิวตัวที่มอบให้กู้ช่าน ภายหลังได้เจอกับท่านอาหลี่ ขณะกำลังต่อรองราคากลับถูกเกาเซวียนชิงตัดหน้าซื้อปลาหลีสีทองตัวนั้นไป บวกกับข้องราชามังกรที่มอบให้เปล่าๆ อีกใบหนึ่ง
ภายหลังลูกหลานสกุลเกาเมืองเกอหยางต้าสุยผู้นี้ได้ใช้สถานะตัวประกันจากการที่สองแคว้นเป็นพันธมิตรกันมาอยู่ที่ราชวงศ์ต้าหลี และเคยมาศึกษอยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นนานหลายปี
ตอนอยู่ในสำนักศึกษาซานหยา เกาเซวียนก็มักจะมาตกปลากับอวี๋ลู่บ่อยๆ และแท้จริงแล้วก็สนิทกับพวกเป่าผิง หลี่ไหวมาก
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปหาเกาเซวียนที่วังหลวงต้าสุย ตอนนี้ฮ่องเต้ที่เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานพระองค์นี้กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจฎีกาในห้องทรงพระอักษร
ขันทีอายุมากที่ถูกวงการต้าสุยเรียกขานอย่างลับๆ ว่าเป็น ‘เสนาบดี’ สองรัชสมัยเฝ้าอยู่หน้าประตู จากนั้นก็มีผู้ถวายงานคนหนึ่งมาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ดูเหมือนว่าจะชื่อไช่จิงเสิน
เฉินผิงอันไม่สนิทกับเขา แต่ดูเหมือนว่าชุยตงซานและท่านอาหลี่ต่างก็สนิทกับเขามาก
ต่อมาเขาก็แค่ไปเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบของสำนักศึกษาครู่หนึ่ง ครั้นเรือนกายก็จางหายไป ออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง
ปีนั้นเฉินผิงอันฟังคำบอกเล่าจากจางซานเฟิง บอกว่ายุคบรรพกาลมีเทพหญิงที่ทำหน้าที่ป่าวประกาศการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ คอยดูแลบุปผาพืชพรรณในใต้หล้า ผลปรากฏว่าในแคว้นกู่อวี๋มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ไม่งอกงามร่วงโรยตามเวลาที่กำหนด เทพหญิงจึงออกโองการทำให้ต้นไม้ต้นนี้ไม่อาจมีสติปัญญา จึงยากยิ่งที่จะฝึกตนกลายเป็นภูตหล่อหลอมเรือนกายได้สำเร็จ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่าทึ่มเหมือนตอไม้อวี๋ในโลกยุคหลังเกิดขึ้น
หากเฉินผิงอันจำไม่ผิด นักเล่านิทานแซ่ฉู่ที่อยู่ทางทิศใต้ ปีนั้นมีตบะแค่ขอบเขตห้าจริงๆ นี่จึงไม่สอดคล้องกับปีที่มันดำรงอยู่บนโลก
ผู้ฝึกตนที่อยู่บนภูเขามีคำกล่าวถึงอายุลวงและอายุจริง วิธีการคำนวณไม่ค่อยเหมือนกับอายุของคนล่างภูเขา ถ้าอย่างนั้นภูติต้นอวี๋โบราณตนนี้จึงเป็นดั่งคำว่าอายุลวงหลายพันปี แต่อายุแท้จริงกลับไม่มากพอตามแบบฉบับแล้ว
เวลานั้นเฉินผิงอันอ่านตำรามาน้อย วิสัยทัศน์ตื้นเขิน ก่อนหน้านี้ยังเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายคือเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่อวี๋ ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่คนแซ่ฉู่คนเดียว บวกกับเรื่องเล่าที่จางซานเฟิงเล่าให้ฟัง รวมไปถึงเรื่องที่อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองมาจากแคว้นกู่อวี๋ก็น่าจะพอคาดเดาได้แล้ว
ภูตในใต้หล้านี้ ขอแค่หลอมเรือนกายได้สำเร็จ เรื่องของชื่อจริงก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
หากใช้วิธีการอธิบายตัวอักษรตามแบบของอาจารย์สวี่แห่งเส้าหลิง ตัวอักษรฉู่ (楚) ด้านบนคืออักษรหลิน (林) ด้านล่างคืออักษรผี่ (疋) อักษรผี่สามารถอธิบายได้ว่า ‘เท้า’ อักษรมู่ (木) สองตัวประกอบกันเป็นอักษรหลิน (林 คำว่าหลินหมายถึงป่า คำว่ามู่แปลว่าต้นไม้) ใต้ต้นไม้มีเท้า ราชครูแคว้นกู่อวี๋ผู้นั้นจึงใช้อักษรนี้มาเป็นแซ่ของตัวเอง
ตอนนั้นฉู่เม่าบอกว่าตัวเองมีความสัมพันธ์แบบที่ทั้งช่วยเหลือกันและป้องกันกันเองกับฮ่องเต้สกุลฉู่ ดังนั้นเมื่อย้อนกลับไปมองก็ถือเป็นถ้อยคำจริงใจที่เอ่ยได้อย่างมีมโนสำนึกจริงๆ
ฉู่เม่ายืนอยู่ที่เดิม อึ้งงันไร้คำพูด ประดุจโดนฟ้าผ่าลงกลางหัว
เซียนกระบี่ชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะเป็นเด็กหนุ่มของเมื่อปีนั้นได้อย่างไร?!
เวลาเพิ่งผ่านไปกี่ปีเอง? เวลานั้นตนกับผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มเพียงแค่พบเจอกันบนทางแคบ ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ดูเหมือนจะ…ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่กระมัง?
อีกอย่างเจ้าเป็นถึงนายท่านเซียนกระบี่ขอบเขตห้าคนหนึ่ง ช่วยมองภูตขอบเขตถ้ำสถิตตัวเล็กๆ อย่างข้าเป็นผายลมที่ปล่อยออกมาไม่ได้หรือ?
ไยต้องซักไซ้ไล่เรียงรื้อค้นบัญชีเก่า ทำลายมาดแห่งตระกูลเซียนไปเสียเปล่าๆ
เฉินผิงอันยกเก้าอี้มาแล้วนั่งลงไป ยิ้มเอ่ยกับสาวใช้คนหนึ่งว่า “รบกวนแม่นางช่วยเอาถ้วยและตะเกียบมาเพิ่มอีกชุด”
ฉู่เม่าเพิ่งคิดว่าจะสั่งสอนห่านบื้อที่ไม่มีแววตาแม้แต่น้อยผู้นั้นสักสองสามประโยค กลับสังเกตเห็นก่อนว่าเซียนกระบี่มองตนกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ฉู่เม่าจึงพูดกับสาวใช้คนนั้นด้วยสีหน้าเมตตาทันที “จำไว้ว่าเอาสุราดีมาหลายๆ กาด้วย”
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็ถามชวนคุยว่า “เจ้ากับนักพรตป๋ายลู่ยังคบค้าสมาคมกันอยู่หรือไม่?”
สำหรับนักพรตป๋ายลู่ที่เป็นหนึ่งในพันธมิตรของฉู่เม่า ยากนักที่ความทรงจำจะไม่แจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น
มาอย่างรวดเร็ว แต่เผ่นหนีไปรวดเร็วยิ่งกว่า
ตอนนั้นฉู่เม่าเห็นท่าไม่ดีก็รีบเรียกเทพภูเขาฉินและนักพรตป๋ายลู่ให้มาช่วยเหลือทันที คิดไม่ถึงว่านักพรตป๋ายลู่ที่เพิ่งจะพลิ้วกายลงในระเบียง เท้าเพิ่งสัมผัสพื้นก็ดีดปลายเท้า เสกแส้ปัดฝุ่นในมือให้จำแลงเป็นกวางขาวตัวหนึ่ง มาอย่างรีบร้อน ทว่าจากไปกลับรีบร้อนยิ่งกว่า ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า ‘มารดามันเถอะ ผู้ฝึกกระบี่!’
อันที่จริงเฉินผิงอันในเวลานั้นไหนเลยจะถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้
กระบี่บินเล่มหนึ่ง มีหรือไม่มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตถึงจะเป็นเรื่องสำคัญในสำคัญอีกที
และชูอีกับสืออู่ ในฐานะกระบี่บินสองเล่มที่อยู่เคียงข้างเฉินผิงอันมายาวนานที่สุด จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังหาวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของพวกมันไม่เจอ
ฉู่เม่ายิ่งอกสั่นขวัญผวา เขาถอนหายใจตอบว่า “ก่อนหน้านี้นักพรตป๋ายลู่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยในสงคราม ทุกวันนี้ไปยังต่างทวีปเพื่อผ่อนคลายอารมณ์แล้ว บอกว่าหากท่องเที่ยวเก้าทวีปของไพศาลเสร็จเมื่อไหร่จะต้องไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่สักครั้ง เปิดโลกทัศน์เสียหน่อย ถือเสียว่าทำหน้าหนาไปดื่มสุราคารวะเหล่าเซียนกระบี่ที่รบตายไป ท่านนักพรตยังบอกด้วยว่าเมื่อก่อนไม่รู้ถึงความดีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รอกระทั่งสงครามยากลำบากที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขานึกจะตายก็ตาย อีกทั้งยังตายกันทีเป็นเบือลุกลามมา ถึงได้รู้ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เดิมทีนึกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรแม้แต่น้อยได้ช่วยใต้หล้าไพศาลปกป้องความสงบผาสุกไว้นานนับหมื่นปีนั้นมีความกล้าหาญถึงเพียงใด ไม่ง่ายถึงเพียงใด”
อันที่จริงปีนั้นเมื่อกลับไปยังเมืองหลวงของแคว้นกู่อวี๋ ฉู่เม่าเคยส่งนักฆ่ากลุ่มหนึ่งไป เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคน ผู้ฝึกตนอิสระสองคน ให้ไปลอบฆ่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มคนนั้น ผลคือเป็นดั่งวัวปั้นดินหล่นลงมหาสมุทร ดั่งซาลาเปาที่เอาขว้างหัวหมา แต่ละคนจากไปแล้วไม่หวนกลับมา
ดังนั้นตลอดหลายปีผ่านมานี้ ฉู่เม่าจึงไม่เคยคิดจะไปแก้แค้นที่เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ยอมรับว่าตัวเองดวงซวย ไปมีเรื่องกับใครไม่มี ดันไปมีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่เสียได้
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ด้วยรากฐานมหามรรคาของราชครูฉู่ ปีนั้นทำไมถึงไม่หันไปสวามิภักดิ์กับเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร้างล่ะ?”
ฉู่เม่าคลี่ยิ้ม “เป็นภูต ไม่ได้เป็นสัตว์เดรัจฉาน”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น “ชนกันหน่อย”
ฉู่เม่ารีบใช้สองมือยกจอกเหล้า รอกระทั่งเซียนกระบี่ชุดเขียวดื่มแล้วเขาถึงได้พลันแหงนหน้า กระดกดื่มเหล้าในจอกจนหมด
ฉู่เม่ารินเหล้าจนเต็มอีกครั้ง รีบเอ่ยถ้อยคำไพเราะที่ได้ผลประโยชน์โดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง “หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่เฉินมีภูเขาเป็นของตัวเอง มิอาจปลีกตัวออกมาได้จริงๆ ไม่มีอิสระสง่างามเหมือนเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะ ไม่อย่างนั้นหากไปอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ด้วยคุณสมบัติของเซียนกระบี่เฉินจะต้องไม่ด้อยไปกว่าเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแม้แต่นิดแน่นอน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!