"มีอะไรก็ว่ามา" ตอนนี้ในห้องประชุมเหลือแค่พ่อกับลูกชายคนเล็กแค่สองคน
"ถ้าคุณยังอยากให้ผมอยู่ในสายตา อย่ามายุ่งกับคนรักของผม" เขาไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่นิดเดียว
"ลูกก็โตพอที่จะรู้อะไรเป็นอะไรแล้ว ถ้าลูกอยากมีใครสักคนพ่อจะไม่ว่า แต่การที่เราจะมีคู่ครอง เราต้องเลือกคนที่มาหนุนนำเราได้"
"เหมือนคุณใช่ไหม?"
"มันคนละประเด็นกัน"
"ใช่..มันคนละประเด็น แต่คุณอยากจะให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอย..ผมลืมไป..ผมกับแม่ไม่มีค่าพอที่คุณจะ.."
"พระราม!" พระนายรู้ว่าลูกจะพูดอะไรต่อก็เลยหยุดเขาไว้ก่อน
"ก็ได้เราจะไม่พูดเรื่องนั้น แต่เรื่องนี้ ถ้าคุณเข้ามายุ่งกับชีวิตผู้หญิงของผม ไม่สิ..เมียของผม..ไม่ว่าหน้าไหนผมก็ไม่ปล่อยไว้แน่"
"หยุดก่อน" ก่อนที่ลูกชายจะออกจากห้อง พระนายได้เรียกไว้อีกครั้ง "ลูกรู้ไหม ถ้าคนภายนอกรู้ว่าลูกชายคนเล็กของพ่อ ไปคว้าผู้หญิงที่เคยทำงานอย่างว่ามาเป็นเมีย"
"เธอไม่เคยทำ" คำนี้เขาตอกพ่อกลับได้ทันควัน แต่ผู้ชายมักมากแบบพ่อคงไม่เชื่ออยู่แล้ว "คุณรู้ไหมว่าความจนมันน่ากลัวแค่ไหน ไม่ว่ามีงานอะไรอยู่ตรงหน้าก็ต้องรีบคว้าไว้ เพื่อครอบครัว ..ผมลืมไปว่าคุณไม่เคยจน" ถ้าเขามีเงินรักษาแม่ตั้งแต่รู้ว่าเริ่มป่วย ป่านนี้แม่ก็คงจะยังไม่ตาย ชายหนุ่มพยายามที่จะแยกสองเรื่องนี้ออกจากกัน แต่ทำไมเรื่องทั้งสองมันถึงได้คล้ายกันนัก ตกลงผู้ชายคนนี้เคยรักแม่จริงหรือเปล่า ..เพราะถ้าพ่อรักแม่มากพอ คงไม่ยอมให้ผู้ใหญ่จับคลุมถุงชน เหมือนกับเขาที่กำลังต่อสู้เพื่อเธออยู่
"ก็ได้พ่อจะให้ลูกมีบ้านอีกหลัง แต่ภรรยาแต่งที่ถูกต้องตามกฎหมายยังไงก็เป็นผู้หญิงคนนี้ไม่ได้"
"หึ! ถ้างั้นคุณก็ลืมไปได้เลย"
"ลืม??"
"ลืมว่าเคยมีผมเป็นลูก" จบประโยคคำพูดพระรามก็ออกมาจากห้องนั้น โดยที่ไม่หันกลับไปมอง
"ไปตามพระลักษณ์มา" พระนายออกมาจากห้องประชุมแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง โดยสั่งเลขาที่กำลังรีบเดินตามเข้ามา
"ค่ะ" อ้อต้องได้รีบออกมาทำตามคำสั่ง
เพียงไม่นานพระลักษณ์ก็มาที่ห้องของพ่อ ถึงไม่บอกว่าพ่อเรียกมาเพราะเหตุใด เขาก็พอจะเดาได้
"ทำยังไงก็ได้ แยกผู้หญิงคนนั้นออกไป"
พระลักษณ์ก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้มากในเมื่อมันเป็นคำสั่งของพ่อ เขาก็ต้องได้ทำตาม
ชายหนุ่มเดินกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเอง ยังคิดอยู่ว่าจะช่วยพ่อยังไง แต่พอเดินผ่านหน้าห้องแอบมองไปเห็นเธอคนนั้น..คนที่เขารู้มาอีกทีว่าเป็นเพื่อนสนิทของจ๊ะเอ๋
"เข้ามาพบผมในห้องหน่อย"
"กาญหรือคะ" กาญจนาเลขาผู้จัดการรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้
"ไม่ใช่คุณ"
สองคนที่เหลือต่างก็มองหน้ากัน เพราะถ้าไม่ใช่คุณเลขาแล้วจะเป็นใคร
"คุณนั่นแหละ..ชื่ออะไรนะ"
"ดิฉันหรือคะ" ของขวัญวางเอกสารที่กำลังจัดเรียงอยู่ไว้แล้วรีบลุกขึ้น
"ใช่..ตามผมเข้ามา" ว่าแล้วพระลักษณ์ก็เดินนำหน้าเข้าไปในห้องทำงาน
มาทำงานตรงนี้เกือบจะถึงเดือนแล้ว ไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลย และของขวัญก็ไม่อยากจะอยู่ในสายตาด้วย เพราะตอนนี้เริ่มขนลุกแล้ว ไม่รู้ว่าผู้จัดการจะเรียกเข้าไปคุยส่วนตัวด้วยเรื่องอะไร
แกร็ก~
"อยากพาไปกินอะไรอร่อยๆ" พระรามพาเธอขับรถออกมา จ๊ะเอ๋จำทางได้ก็เลยหันมองดูหน้าเขา?
จนรถได้มาจอดอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง
"นายยังจำมันได้เหรอ"
"ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ"
"แต่ตอนนั้นนายบอกว่า.." มันเป็นร้านอาหารหรูที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่พวกเขาเรียนมากนัก จ๊ะเอ๋เคยช่วยชวนเขามาทาน แต่พระรามบอกว่ามันแพง
สำหรับเขาแต่ก่อนมันแพงมาก เพราะตอนนั้นแม่ก็หาเงินไม่ได้แล้ว เขาต้องได้เก็บเงินไว้เป็นทุนการศึกษา และรักษาแม่ด้วย ถึงแม้แม่จะใช้สิทธิ์ในโรงพยาบาลรัฐบาล แต่ก็มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก
พระรามก็เลยไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับเธอมากนัก รวมทั้งเรื่องไปดูหนัง ที่เขาไม่ได้ไปเพราะมันต้องใช้เงิน ..แต่ตอนนี้เขามีแล้ว ก็เลยอยากจะพาเธอไปทุกที่ที่เธออยากจะไป
"ถ้าเรียนจบ มีงานทำ เราเก็บเงินซื้อบ้านซื้อรถกันนะ" ประโยคนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำ ของพระราม ถึงแม้ว่าเธอจะบอกเลิกและออกไปจากชีวิตเขา แต่เขาก็รู้ดีว่าทำไมเธอถึงทำแบบนั้น เพราะเขาเริ่มตีตัวออกห่าง อยากให้เธอเจอคนที่มีพร้อม ..แต่พอกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาไม่รีรอเลยที่จะซื้อบ้านซื้อรถ ซื้อสิ่งของที่เธอเคยบอกว่าอยากจะได้ เพราะชีวิตคนมันสั้นนัก เหมือนกับแม่ของเขา ไม่รู้ว่าจะจากกันเมื่อไร ตอนที่ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง เขาก็เลยรีบทำตามความฝันของเธอให้สำเร็จ
"ทำไมนายไม่ทานล่ะ" จ๊ะเอ๋เห็นเขานั่งจ้องแต่หน้าเธอ
"รีบทานเถอะเดี๋ยวจะพาไปดูหนัง"
"ไปดูหนัง?"
"อยากดูไม่ใช่เหรอ"
"ราม"
"ร้องไห้ทำไม" ที่จริงจ๊ะเอ๋อยากจะร้องไห้ตั้งแต่เขาพาเข้ามาในร้านนี้แล้ว ยิ่งได้ยินเขาบอกว่าจะพาไปดูหนัง น้ำตาแห่งความตื้นตันก็อดกลั้นไม่ไหวอีกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน
แอดค่ะ บอกบุญหน่อย อ่านต่อได้ที่ไหนค่ะ...