อ่านสรุป บทที่ 4 จาก Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม โดย ShanLiangdeMiFeng
บทที่ บทที่ 4 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายMartial Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ShanLiangdeMiFeng อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ฉู่เฟิงได้ยินเสียงสัตว์อสูร คำรามดังกึกก้องทั่วทุกสารทิศ
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้ และถูกแบ่งความแข็งแกร่งออกเป็นเก้าระดับ ซึ่งระดับที่ว่านี้ สอด คล้องกับพลังเก้าระดับของผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีพลังทิพย์ยุทธ์
ทว่ากลับมีเสียงเล่าลือกันมาอย่างช้านานว่า สัตว์อสูรระดับสามนั้นมีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีพลังทิพย์ยุทธ์ห้วงที่สาม อีกทั้งมันยังเทียบได้กับผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีพลังทิพย์ยุทธ์ห้วงที่สี่เลยทีเดียว
นั่นคือเหตุผลที่ว่าแม้จะเป็นฉู่เฟิง มันก็ไม่กล้าประมาท สัตว์อสูรเหล่านั้น มันรู้ว่าเมื่อเล่ห์กลไกทั้งหมดในห้องโถงถูกเปิดออก เหล่าสัตว์อสูรกระหายเลือดก็จะปรากฏตัวขึ้น
"ปัง" ทันใดนั้นเกิดเสียงดังก้องกังวาน และประตูศิลาที่เปรียบเสมือนกรงขังสัตว์อสูรเหล่านั้นเริ่มเปิดออก
"แปลกอะไรเช่นนี้ ข้ายังไปไม่ถึงโถงกลาง เหตุใดประตู ถึงเปิดได้ล่ะ?" ฉู่เฟิงรู้สึกฉงนสงสัยเป็นอย่างมาก
"ปัง ปัง ปัง" เพียงแค่อึดใจเดียว ประตูศิลาทั้งสี่สิบบาน ที่อยู่ด้านข้างของโถงกลางถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายลม มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความชั่วร้ายที่แผ่ซ่านออกมา
ฉู่เฟิงตะลึงงัน เพราะในความมืดมิดด้านหลังประตูเหล่านั้น เผยให้เห็นดวงตาสีแดงฉานเหมือนโลหิตเบิกกว้างขึ้นพร้อมกัน และทั่วทั้งห้องล้วนเต็มไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง
"ให้ตายสิ นี่มันไม่ตลกแล้วนะ" ฉู่เฟิงสบถ มันได้ยินว่าในรอบสุดท้ายของการทดสอบ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องสู้กับสัตว์อสูรเพียงตัวเดียว แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น
"ย๊าก" มันมีเวลาไม่มากที่จะคิดหาทางออก เพราะด้านหน้าของมันมีเงาดำทมิฬของสัตว์อสูรกลุ่มหนึ่ง เงาสีดำนั้นกระโจนออกมาจากประตูศิลา และวิ่งเข้ามายังโถงกลาง เห็นได้ชัดว่าเดรัจฉานเหล่านั้นมีลักษณะคล้ายเสือ แต่ขนาดใหญ่มหึมากว่าสองเท่า ร่างของพวกมันทั้งหมดเป็นสีดำ พวกมันมี งาและมีกรงเล็บแหลมคมเหมือนใบมีด ดวงตาทั้งคู่สีแดงก่ำ
พวกมันทั้งหมดมีประมาณสี่สิบตัวด้วยความที่ลักษณะ ของมันแต่ละตัวแทบจะไม่ต่างกันมาก พวกมันจึงน่าจะเป็นชนิดเดียวกัน แต่เมื่อตรวจสอบใกล้ ๆ ฉู่เฟิงพบว่าเส้นบนหน้าผากของพวกมันมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แน่นอนว่านั่นอาจเป็นสัญลักษณ์ของการจัดระดับของพวกมันนั่นเอง
"กรรรร" ในครานั้น สัตว์อสูรตัวหนึ่งก็ร้องคำราม มันจ้องมองไปยังแท่นศิลาสูง ที่อยู่ลึกเข้าไปในโถงกลาง
ขณะเดียวกัน สัตว์อสูรที่เหลือต่างจ้องไปยังทิศทางเดียวกัน พวกมันเริ่มน้ำลายไหลย้อยเป็นทาง
"ไอ้พวกหัวขโมยสารเลว" ฉู่เฟิงโกรธเมื่อเห็นภาพเช่นนั้น มันไม่อาจปล่อยให้เดรัจฉานเหล่านั้นเอาของล้ำค่าไปได้? ฉู่เฟิงสบถแล้วพุ่งเข้าไปยังแท่นศิลา
"ย๊าก" ทันทีที่ฉู่เฟิงเข้าไปถึงโถงกลาง มันก็ดึงดูดสาย ตาอำมหิตของสัตว์อสูรเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว นับเป็นเรื่องดีสำหรับฉู่เฟิง สัตว์อสูรทั้งสี่สิบตัวเลิกสนใจหญ้าเซียนทิพย์ พวกมันทั้งหมดกรูเข้ามาล้อมฉู่เฟิงไว้ และเปิดฉากโจมตีรุนแรง สำหรับพวกมันดูเหมือนว่าเลือดเนื้อมนุษย์นั้นน่าดึงดูดใจยิ่งกว่าหญ้าเซียนทิพย์เสียอีก
"ไปให้พ้นบัดเดี๋ยวนี้" สัตว์อสูรระดับสองตัวหนึ่งโจมตีฉู่เฟิงซึ่ง ๆ หน้า แต่ฉู่เฟิงปล่อยหมัดทะลวงสวนกลับไป จนทำ ให้กระโหลกศีรษะของมันแตกละเอียดเป็นผุยผง มันไม่สามารถลุกขึ้นมาโจมตีได้อีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันสัตว์อสูรอีกสองสามตัวเข้ามาล้อมรอบฉู่เฟิงเอาไว้ และโจมตีมันอย่างรุนแรง จิตสังหารที่พวกมันปล่อยออกมาก็มากพอที่จะทำให้สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
แต่ฉู่เฟิงนั้นไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจแต่อย่างใด มันมี ความคล่องแคล่วว่องไวราววานร มันกระโดดซ้ายทีขวาที เคลื่อนย้ายไปข้างหน้า โยกมาข้างหลัง ในขณะที่ตกอยู่ในวงล้อมของสัตว์อสูรเหล่านั้น ทุกครั้งที่มันลงมือ หนึ่งในสัตว์อสูรต้องมลายสิ้นลมหายใจ
ณ ห้วงเวลานั้น ฉู่เฟิงเหมือนเป็นสัตว์อสูรร้ายอำมหิตที่น่าหวาดหวั่น เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรที่เหี้ยมโหดเหล่านี้ทุกส่วน ของร่างกายมันเปรียบเสมือนอาวุธคมกริบที่มิอาจทำลายได้อย่างง่ายดาย ถึงสัตว์อสูรเหล่านั้นจะมีผิวหนังหยาบกร้านและมีเนื้อหนา แต่พวกมันก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีอันรุนแรงของฉู่เฟิงได้
ครานั้น ฉู่เฟิงไม่เพียงรู้สึกว่ามีพลังวิญญาณอันไม่มีที่สิ้นสุดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างเท่านั้น แต่มันยังมีสายฟ้าเก้าสีที่มันทั้งรักทั้งชังโคจรอยู่ภายในร่างกายอีกด้วย เพราะสายฟ้าเก้าสีนั่นเองที่มอบพลังอันแข็งแกร่งให้กับมัน ซ้ำยังเสริมร่างกายของมันให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติขึ้นอีกด้วย
"กรรรร" ขณะที่ฉู่เฟิงกำลังสังหารสัตว์อสูรเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง เสียงคำรามดุดันเกี้ยวกราดก็ดังขึ้นเบื้องหลัง
เมื่อมันหันกลับไปมองก็ต้องตกตะลึง เพราะกรงเล็บแหลมคมของสัตว์อสูรตัวใหญ่ยักษ์พุ่งเข้าหาศีรษะมัน
กรงเล็บขนาดใหญ่นี้แตกต่างจากของตัวอื่น ๆ เพราะมันมีความแข็งแกร่งมากกว่า หากฉู่เฟิงหลุดเข้าไปในกรงเล็บของมัน สมองของเขาต้องแหลกละเอียดแน่ ๆ
"ฟึ่บ" ฉู่เฟิง กระโดดถอยหลังด้วยสัญชาติญาณเพื่อหลบกรงเล็บมหึมานั้น
ทว่ากรงเล็บมหึมานั้นว่องไวอย่างมาก แม้ว่าสมองของฉู่เฟิงจะรอดจากการระเบิดมาได้ แต่กรงเล็บก็ฟากลงบนหน้าอกของเขา
ฉู่เฟิงถามตนเอง เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรเหล่านั้น มันรู้สึกว่าเส้นเอ็นและกระดูกของมันนั้นเป็นเหล็กกล้าที่เลยทีเดียว
ร่างกายของมันเกินขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้ว นี่เป็นอีกครั้งที่มันยอมรับความสามารถของตัวเอง
หลังจากที่กวาดตามองไปรอบ ๆ ฉู่เฟิงก็กระโดดขึ้นบนแท่นสูง มันคว้าคัมภีร์ฝึกวรยุทธ์ระดับสี่ และหญ้าเซียนทิพย์โดยที่ไม่ได้เหลือบมองเลยด้วยซ้ำ
หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ฉู่เฟิงไม่คิดที่จะเปิดประตูบานยักษ์ออกไป ทว่ามันกลับไปยังทางที่เข้ามา และเข้าไปตรงด่านเล่ห์กลไกอีกครั้ง ก่อนที่ฉู่เฟิงจะก้าวออกไป ภายในห้องศิลาที่คุมขังอสุรกายอำมหิต มีเงาร่างนับสิบเดินออกมา หนึ่งในนั้นคือซูโหรวนั่นเอง
พวกเขาเห็นเพียงแค่ฉู่เฟิงโจมตีสัตว์อสูรระดับสี่อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อคิดว่าสัตว์อสูรที่แข็งแก่งมากมายถูกเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวสังหาร… ย่อมเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
"อาวุโสหลี่ เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นใครกัน?" ซูโหรวเอ่ยถาม ด้วยความกังขา
อาวุโสหลี่ไม่ตอบอันใด ส่วนอาวุโสคนอื่นที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็ส่ายหน้า
"ท่านไม่รู้จักชื่อเด็กที่มีความสามารถขนาดนั้นงั้นรึ?" ซูโหรวขมวดคิ้วมุ่นแสดงความรู้สึกขัดใจ
"ศิษย์นอกสำนักนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน ถ้ามันกำลังปิดบังความแข็งแกร่ง แล้วพวกเรา…" สีหน้าของผู้อาวุโสหลี่บ่งบอกว่าเขาเองก็จนปัญญา
"ยังไงก็ตาม รีบหาข้อมูลของมันแล้วรายงานข้า "
"แล้วถ้ามันไม่อยากเปิดเผยความแข็งแกร่ง ก็ปล่อยไปอย่างที่มันต้องการ และอย่าให้มันรู้ว่าพวกเรากำลัง พยายามตรวจสอบพลังของมัน" ซูโหรวออกคำสั่ง
"ตามบัญชาขอรับ" ผู้อาวุโสหลี่และคนอื่น ๆ น้อมรับคำสั่ง เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสฝ่ายใน พวกเขาไม่กล้าขัดขืน ซูโหรวจ้องไปยังทิศที่ฉู่เฟิงจากไป จากนั้นนางกลับไปที่ห้องศิลาแล้วพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม
ไม่ลงต่อหรือครับ...