"รางวัลล้ำค่าอะไรกัน?" ฝูงชนล้วนสงสัยและยังเกิดความกังขา
“หรือว่าผู้อาวุโสซูโหรว จะให้ร่างกายของนางเป็นรางวัลรึ?" บางคนมัวคิดเพ้อฝันกล่าววาจาอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน
ถึงแม้ว่าซูโหรวเป็นผู้อาวุโส ทว่าแท้จริงแล้ว นางกลับมีอายุเพียงแค่ยี่สิบปี เมื่อเทียบกับอาวุโสชราท่านอื่น ๆ ใน สำนัก ฝูงชนจึงรู้สึกว่าสามารถเข้าถึงตัวของนางได้ง่ายกว่า ด้วยเหตุผลทั้งปวง หลายคนจึงไม่พะวงเมื่อเอ่ยวาจาพาดพิงถึงนางเช่นนั้น
ซูโหรวเพียงแค่ส่งยิ้มที่เปี่ยมเสน่ห์ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อการทึกทักต่าง ๆ นานาของฝูงชน นางยกนิ้วมืออันเรียวยาวทั้งห้านิ้วขึ้นมา แล้วเอื้อนเอ่ยวาจาว่า "รางวัลล้ำค่าอีกสิ่งคือหญ้าเซียนทิพย์ห้าต้น"
"อะไรนะ? หญ้าเซียนทิพย์ห้าต้นเลยรึ?”
"ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่? รางวัลล้ำค่าคือหญ้าเซียนทิพย์ห้าต้น" เมื่อคำตอบนั้นเปล่งออกมา ทั้งห้องโถงเต็มไป ด้วยความโกลาหลวุ่นวาย ไม่มีผู้ใดสามารถอยู่นิ่งเฉยได้เลย
หญ้าเซียนทิพย์นั้นเป็นสิ่งแสนล้ำค่ายิ่งนัก แม้แต่ตระกูลฉู่อันลือนาม ก็สามารถเจียดแบ่งให้คนในตระกูลได้เพียงหนึ่งคนต่อต้นต่อหนึ่งปี สำหรับผู้คนทั่วไป หญ้าเซียนทิพย์เปรียบเสมือนสมบัติอันประมาณค่ามิได้ และบางคน ก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อนด้วยซ้ำ
ครานี้สำนักมังกรครามสามารถมอบเป็นของรางวัลได้ถึงห้าต้น ช่างเป็นสิ่งล่อตาล่อใจเหล่าศิษย์นอกสำนักให้เกิดความฮึกเหิมมากขึ้นจริง ๆ ทว่าสำหรับฝูงชนส่วนใหญ่ พวก มันทำได้เพียงแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ เพราะพวกมันรู้ว่าพวกมันไม่มีโอกาสที่จะได้รับหญ้าเซียนทิพย์เหล่านั้นแน่นอน
แต่สำหรับศิษย์ที่ตั้งอกตั้งใจจะผ่านการทดสอบเป็นคน แรก พวกมันจะกระตือรือร้นที่จะได้ลองลิ้มหญ้าหายากนั้น ทำให้ผู้เข้าคัดเลือกจำนวนมากล้วนตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ๆ
ซูโหรวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ พร้อมทั้งโบกมือให้พวกมัน เมื่อนางเห็นว่าบรรดาศิษย์ที่เข้าร่วมทดสอบต่างมีความปรารถนาอันแรงกล้า
"เสียงครั่นครืน" ดังขึ้นด้านหลังซูโหรว จากนั้นประตูบานใหญ่ ก็ค่อย ๆ เปิดแง้มออกอย่างช้า ๆ
"พวกเจ้ามัวแต่รั้งรออะไรอยู่? ไม่อยากจะผ่านการทดสอบงั้นหรือ?" รอยยิ้มของซูโหรวยังคงเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวน ขณะมองไปยังบรรดาศิษย์นอกสำนักที่ตะลึงงัน
"ไปได้..."
ในตอนนั้นเอง เสียงไชโยโห่ร้องดังสะเทือนเลื่อนลั่น กึกก้องไปทั่ว ศิษย์นอกสำนักนับหมื่นวิ่งกรูเข้าไปภายใน ประตูบานใหญ่ ราวกับฝูงม้าป่าที่ถูกถอดสายบังเหียน
ฉู่เฟิงเคลื่อนไปพร้อมกระแสฝูงชนและถูกผลักไปข้างหน้า ในที่สุด พวกมันก็พาตัวเข้าไปในถ้ำหินปูนส่วนที่ลึกที่สุด
แม้ถ้ำหินปูนแห่งนี้กว้างมหึมา แต่กลับมืดขมุกขมัวจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร ผู้เข้าแข่งขันสัมผัสได้ถึงอันตราย ที่ซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด ซึ่งอาจย่างกรายเข้ามาใกล้ได้ทุกขณะ
"ย๊าก! ข้าจะสู้จนตัวตาย เพื่อคัมภีร์ฝึกวรยุทธ์ระดับสี่และเพื่อหญ้าเซียนทิพย์ห้าต้น"
แน่นอนว่ามีผู้คนบางจำพวกที่หมกมุ่นเพียงรางวัลแต่ไม่แยแสชีวิต คนเหล่านั้นรู้แจ้งถึงภัยอันตราย แต่ยังคงพุ่งไป ข้างหน้า และไม่คิดจะหันหลังกลับ ทว่าก็มีส่วนน้อยที่ทำเช่นนั้น
“ซ่า ซ่า ซ่า”
แต่หลังจากวิ่งไปข้างหน้าเพียงร้อยเมตร กลับมีเสียงสายลมพัดดังมาจากด้านหน้า เข็มเงินจำนวนนับไม่ถ้วนถูกยิงออกมาจากกำแพงหิน และพุ่งใส่ฝูงชนราวกับฝนเทกระหน่ำ ห่าใหญ่ดุจท้องนภารั่ว
"อา..."
"โอ้ย..."
ทันใดนั้น เสียงร้องดังระงมไปทั่วทุกสารทิศ บรรดา ศิษย์ที่วิ่งอยู่ด้านหน้าได้ถูกเข็มเงินทิ่มแทงอย่างฉับพลันโดยไม่ทันตั้งตัว จำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบมากกว่าครึ่งร่วงลงพื้น
แม้กระนั้นฝูงชนยังคงมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่มีทีท่าจะล่าถอย พวกมันยังคงวิ่งลึกเข้าไปในถ้ำอย่างบ้าคลั่งสุดชีวิต
ฝูงชนต่างรู้ว่า แม้เข็มเงินนั้นจะมีความแข็งเเกร่งเพียงใด ทว่ามันไม่ได้ทำอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงเล่ห์กลไก สำหรับผู้คนที่มีพลังทิพย์ยุทธ์ห้วงที่สาม พวกมันก็สามารถหลบเลี่ยงเข็มเงินได้อย่างง่ายดาย ตราบใดที่ระมัดระวังมากพอ
ในครานั้น ผู้เข้าร่วมการทดสอบยิ่งวิ่งเข้าไปในถ้ำลึกเท่าไร จำนวนเข็มเงินที่พุ่งออกมาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พวกมันลนลานรับมือแทบไม่ทัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฝูงชนเริ่มรักษาระยะห่าง คนที่กำลังวิ่งอยู่ด้านหลังถือโอกาสฉกฉวยประโยชน์ในยามที่โกลาหล พวกมันคือคนที่แข็งแกร่งอย่าง หยางเทียนหยวี่ และ ต้วนหยู่ซวน
เมื่อเอ่ยถึง หยางเทียนหยวี่และต้วนหยู่ซวน พวกมันถือเป็นบุรุษที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ
ขณะที่ผู้คนอื่น ๆ ต้องระมัดระวังอากัปกิริยาอย่างมาก เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่พายุเข็มเงินนั้น
ทว่าพวกมันสองคนเคลื่อนตัวไปราวกับไม่ได้วิ่งย้ำฝ่า เท้าบนพื้น และดูเหมือนว่าพวกมันไม่ได้วิ่งฝ่ากลไกใด ๆ เช่นเดียวกัน ประหนึ่งว่าพวกมันแค่วิ่งแข่งขันกันเพียงเท่านั้น
ฉู่เฟิงตามหลังคนเหล่านั้น เหมือนมันอยู่ในกลุ่มกอง ทัพของผู้มีพลังทิพย์ยุทธ์ห้วงที่สาม มันทำเช่นนั้นด้วยเหตุ ผลสองประการ
ประการแรก มันไม่ต้องการเป็นจุดเด่น
ประการที่สอง มันไม่ต้องการแสดงพลังอันไร้เทียมทานต่อหน้าธารกำนัลเร็วไปนัก
นั่นคือเหตุผลที่มันเฝ้ารอโอกาสที่จะแซงหน้าฝูงชนเหล่านั้น ในคราเดียวกันมันไม่ต้องการให้ผู้ใดจับสังเกตได้
"ต้วนหยู่ซวน เจ้าอายุอานามก็มากกว่าข้า ทว่ากลับไม่สามารถเอาชนะเด็กอย่างข้าได้ เจ้าไม่คิดว่ามันน่าอับอายขายขี้หน้าบ้างรึ?"
"หืม เจ้าเด็กเมื่อวานซืน ในการประลองยุทธ์อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องเอื้อนเอ่ย เพียงความเข็งแกร่งเท่านั้นก็พอ ถ้าเจ้าต้องการโอ้อวด ก็เอาชนะข้าให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยกล่าววาจาเช่นนั้น"
เวลาผ่านไปไม่นานนัก กองทัพเบื้องหน้ามีเพียงเงาคู่หนึ่งที่ปรากฏอยู่ไกลลิบฟ้า ทั้งคู่คือหยางเทียนหยวี่และต้วน หยู่ซวนนั่นเอง
พวกมันทั้งสองมีพลังทิพย์ยุทธ์ห้วงที่สี่ คนหนึ่งมีพรสวรรค์อันทรงพลัง อีกคนหนึ่งเปี่ยมด้วยประสบการณ์อย่างแท้จริง พวกมันทั้งคู่มีความสามารถค่อนข้างทัดเทียม และการปะทะอันดุเดือนเลือดพล่านก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะพวกมันทั้งสองรู้ดีว่า คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดก็คืออีกฝ่ายหนึ่งนั่นเอง ตราบใดที่เอาชนะอีกฝ่ายได้ รางวัลอันล้ำค่าสำหรับการผ่านบททดสอบ ก็จะตกเป็นของพวกมันคนใด คนหนึ่งที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับแรก
"ฟู่ ฟู่ ฟู่" จู่ ๆ ก็มีเสียงสายลมพัดมาจากเบื้องหน้า
ทั้งสองคนประหลาดใจ ขณะจ้องมองอย่างจดจ่อจน ทำให้ต้องชะลอความเร็วลง นั่นก็เพราะหมอกหนาทึบแผ่ปก คลุมหนทางข้างหน้าอยู่จนมิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม
ไม่ลงต่อหรือครับ...