มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 106

หลัวซิวเองก็เข้าใจความหมายของหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง ในเมื่อเรื่องราวทางฝั่งลู่เมิ่งเหยานับว่าได้คลี่คลายแล้ว เขาเองก็ตั้งใจแล้วว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป จะมุ่งความสนใจไปที่การฝึกยุทธ์

เหวินเซวียนหงไม่ได้อยู่กับหลัวซิวนานเท่าไหร่นัก ที่ให้ความสำคัญกับหลัวซิวเป็นพิเศษ ก็เพราะพรสวรรค์ของหลัวซิวไม่เลว และชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เขามองดูแล้วรู้สึกสบายตาเท่านั้น

บนโลกใบนี้ไม่ขาดแคลนอัจฉริยะ แต่ขาดแคลนอัจฉริยะที่สามารถเติบโตเป็นผู้แข็งแกร่งได้

หลังจากที่เหวินเซวียนหงจากไป หลัวซิวก็เริ่มฝึกตนอยู่ภายในห้อง ภายในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น เขามุ่งความสนใจไปที่การทำความเข้าใจวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพและวิชาดาบเร็ว สำหรับเรื่องเพิ่มผลการฝึกตนของตัวเองนั้น เขาไม่ได้ให้ความสำคัญนัก

ตอนที่ถูกจางหลู่เหลียงทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บที่นอกสำนักเซียวเหยา ทำให้เขาได้รู้ถึงความสำคัญของการฝึกตน ถ้าหากความสามารถของข้าศึกและข้านั้นแตกต่างกันอยู่ในระดับที่แน่นอนแล้ว ก็จะสามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ยกตัวอย่างเช่นจางหลู่เหลียงเองก็เป็นเช่นนี้ หากพูดถึงระดับที่บรรลุถึง เขาอาจเทียบหลัวซิวไม่ได้ ทว่าว่าผลการฝึกตนนั้นสูงกว่าหลัวซิวมาก จึงสามารถทดแทนความแตกต่างของระดับที่บรรลุถึงในวิชายุทธ์ได้

ผลการฝึกตน ระดับที่บรรลุ ล้วนสำคัญทั้งนั้น

หลัวซิวทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ บวกกับบำเพ็ญตนวิชาดาบเร็ว ระดับที่บรรลุถึงในวิชายุทธ์ของหลัวซิวค่อนข้างจะสูง จอมยุทธ์พรสวรรค์หลายคนยังไม่อาจทัดเทียมกับเขาได้

แต่ผลการฝึกตนของเขานั้นค่อนข้างจะต่ำไป อยู่เพียงแค่วิชาชี่ไห่ขั้น3 เท่านั้น

เพิ่มระดับผลการฝึกตนนั้นง่ายกว่าการเพิ่มระดับของระดับที่บรรลุถึงอีกมาก เพียงแค่มีทรัพยากรที่เพียงพอ พรสวรรค์ดีพอก็ได้แล้ว อาศัยอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น5 บวกกับหินพลังจิตชั้นกลาง หลัวซิวได้หมกมุ่นอยู่กับการเพิ่มระดับการฝึกตนโดยเร็ว

......

หลังจากที่หลัวซิวได้จากไป ลู่เมิ่งเหยาไม่ทราบว่าตัวเองได้ร้องไห้ไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งสุดท้ายถึงขนาดที่ร้องไห้จนสลบไป

เมื่อนางงัวเงียตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง บิดาลู่เฟยเฉินนั่งอยู่ข้างโต๊ะที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

“หลัวซิว......”

ภาพการจากลาของนางและหลัวซิวได้ปรากฏขึ้นมาในสมองของนาง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ข้าไม่โทษเจ้า” ยิ่งทำให้ในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

นางทราบดีว่า เพราะนาง หลัวซิวเกือบต้องตายเพราะเหตุนี้ แม้แต่บิดามารดาและพี่สาวของเขาล้วนต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย

ทว่าคนที่ทำเรื่องพวกนั้น กลับเป็นบิดาผู้ที่รักและเอ็นดูนางที่สุด ส่วนนางสุดท้ายแล้วเพื่อบิดาของตน เลือกที่จะแยกทางกับหลัวซิว นับจากนี้ไปเดินคนละทาง

“เมิ่งเหยา ฟื้นแล้วหรือ” ลู่เฟยเฉินมองมา

“ท่านพ่อ หลัวซิวล่ะ?” ลู่เมิ่งเหยาพลันนึกขึ้นมาว่าหลังจากที่หลัวซิวได้สังหารลูกศิษย์ของนอกสำนักเหล่านั้นแล้ว เขาได้หนีออกไปได้ไหม ถูกจับตัวได้หรือเปล่า ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?

เมื่อนึกถึงเรื่องพวกนี้ นางก็มองบิดาของตนด้วยความกังวลใจ

ลู่เฟยเฉินทอดถอนใจ กล่าว: “หลัวซิวได้หนีเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์......”

เมื่อได้ยินว่าหลัวซิวไม่เป็นอะไร ลู่เมิ่งเหยาก็วางใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง: “ท่านพ่อ ได้โปรดอย่าทำร้ายหลัวซิวอีกเลยได้หรือไม่? ข้ารับปากแต่งกับโกวจินชวน”

นางรู้ว่าหลัวซิวได้สังหารลูกศิษย์ของนอกสำนักไปหลายคน ถ้าหากทางสำนักเซียวเหยาเอาเรื่องขึ้นมา ทั่วทั้งเขตการปกครองหยุนหลงคงไม่มีที่ให้หลัววิวอยู่ได้อีกต่อไป

“ได้ พ่อรับปากว่าจะไม่เอาความเรื่องนี้” ลู่เฟยเฉินยิ้มกล่าวปลอบใจนาง

ทว่าในสายตาของลู่เฟยเฉินได้มีลำแสงอันเย็นยะเยือกแวบผ่านไป ที่เขารับปากลู่เมิ่งเหยาก็เพื่อปลอบประโลมความรู้สึกของนาง ให้เขาปล่อยหลัวซิวเดรัจฉานน้อยนั่นไป จะเป็นไปได้ยังไง?

......

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ