ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลัวซิวพบหลุมต้นไม้ที่ซ่อนอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ที่นี่คือรอบนอกของเทือกเขากวนเหลย อสูรกายที่คอยรบกวนอยู่นั้น พลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือระดับพรสวรรค์
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ หยิบเอาผังค่ายคุ้มกันระดับห้าและชิ้นส่วนหินพลังจิตระดับกลาง เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด
ในโพลงต้นไม้ หลัวซิวนั่งขัดสมาธิ นำเอาหินพลังจิตระดับกลางนับร้อยชิ้นออกมา เริ่มใช้ค่ายผนึกปราณ
การกลั่นร่าง ไม่เพียงแต่ต้องผนึกรวมเลือดปราณชุบร่างเนื้อ ยังต้องมีพลังฟ้าดินจิตมากพอเพื่อมาบำรุงร่างกาย
หยิบเอาลูกแก้วโลหิตระดับฝึกจิตออกมาจากแหวนเก็บของ ตลอดสามวันมานี้มีลูกแก้วโลหิตระดับฝึกจิตเหลืออยู่สิบเจ็ดลูก หลัวซิวกลืนลงไปแล้วสี่ลูก และวันนี้คือลูกที่ห้า
ครึ่งชั่วโมงต่อมา กลั่นแปรลูกแก้วโลหิตระดับฝึกจิตลูกที่ห้า ลมหายใจอสูรกายเข้าผสมวูบวาบอยู่ในร่างกาย แต่ด้วยการกัดเซาะของพลังปราณเป็นตายสองระดับก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
“ปัง!”
และในเวลานี้เอง เสียงดังสนั่นดังออกมายอดของเทือกเขากวนเหลย รวมเข้ากับผสมกับความปั่นป่วนและความผันผวนของพลังจิต
วินาทีนั้น ไม่ว่าจะเป็นอสูรกายที่หลบซ่อนอยู่ในป่า หรือจะเป็นพรานที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าชั่วข้ามคืน พวกเขาต่างมองขึ้นไปในอากาศด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด สามร่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า สองคนอยู่ข้างหนึ่ง คนหนึ่งอยู่อีกคนหนึ่ง เผชิญหน้ากันอย่างสง่างาม
ฝั่งที่ยืนอยู่คนเดียวนั้น คือผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดนักยุทธ์รัดตัว สีดำ ร่างกายที่บอบบางมีส่วนเว้าส่วนโครง รอบตัวมีเปลวเพลิงหมุนวนล้อมรอบตัว ผมหางม้าสีแดงเพลิงปลิวไสวอยู่ด้านหลัง
อีกฝากหนึ่งคือผู้ชายสองคน คนหนึ่งหุ่นกำยำถือดาบ รอบตัวมีสายฟ้าเส้นเล็ก ๆ วนรอมรอบเป็นสาย
อีกคนใบหน้ามีเคราขาว สวมชุดนักปราชญ์สีขาว ล้อมรอบด้วยธงขนาดเท่าฝ่ามือเก้าผืน
หลัวซิวออกมาจากต้นไม้ เมื่อเขาเห็นมองเห็นผู้หญิงคนนั้นเพียงแวบแรก ดวงตาของเขาก็แข็งค้างในทันที
เหยียนเยว่เอ๋อร์!
ชายสองคนที่อยู่ตรงข้ามกับนางด้วยรัศมีอันรุ่งโรจน์และตระหง่านของพวกเขา ความน่าประทับใจอย่างผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์!
“เหลยเว่ยหลง กงซุนเชียนจี แค่เจ้าเพียงสองคน ก็กล้าหยุดข้าอย่างนั้นหรือ” เหยียนเยว่เอ๋อร์ตะโกนอย่างเย็นชา ด้วยใบหน้าที่เย็นยะเยือก
“พวกข้าเพียงทำตามคำสั่ง คงต้องล้ำเส้นแม่นางแล้ว” เหลยเว่ยหลงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เมื่อครึ่งเดือนก่อน สามผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลเหยียนได้บัญชาให้ตรวจสอบเทือกเขากวนเหลยค้นหาร่องลอยของเจ้า จักรพรรดิ์ยุทธ์เทียนเฟิ่งยอมสยบเสียดีกว่า ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่าจะทำเจ้าบาดเจ็บ” กงซุนเชียนจีพูดพลางยิ้มบาง ๆ
“หากจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งไม่มีแผลแห่งเทพจิต ข้าคงไม่อาจหาญขวางทาง แต่ผลการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ลดลงเหลือเพียงแดนฝึกจิต เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควรสำหรับข้าทั้งสอง”
“หากผลการฝึกตนของข้าฟื้นฟู จะต้องทำลายสำนักเหลยหวู่และตระกูลกงซุนให้หมดสิ้น!” ในดวงตาคู่สวย ของเหยียนเยว่เอ๋อร์ มีจิตสังหารพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหักหลังตระกูลเหยียนอย่างไรก็ต้องถูกโทษประหาร เจ้าจะรอดหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเจ้าไม่เต็มใจที่จะถูกจับไปดี ๆ ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องล่วงเกิน! "
กงซุนเชียนจีส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา สะบัดปลายนิ้วขึ้น ธงขนาดเท่าฝ่ามือเก้าผืนรอบร่างลอยออกไป กลายเป็นค่ายกลลอยอยู่กลางอากาศ “เหลยเว่ยหลง ไม่ลงมือรึ?” เขาทักท้วงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เหลยเว่ยหลงเคลื่อนตัวอย่างว่องไว เข้าไปสู่กลางค่ายกล ดาบในมือของเขามีพลังทำลายล้างทุกสิ่ง สายฟ้าดั่งธนูทั้งสี่ทิศ พุ่งไปทางเหยียนเยว่เอ๋อร์
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า ในใจหลัวซิวร้อนเป็นไฟ แต่ผลการฝึกตนของเขาต่ำเกินไป ไม่สามารถลอยขึ้นไปได้ ทำได้แค่มองเหยียนเยว่เอ๋อร์ถูกราชายุทธ์ทั้งสองล้อมโจมตีต่อหน้าต่อตา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เหลยเว่ยหลงเป็นถึงเจ้าสำนักสำนักเหลยหวู่ ส่วนกงซุนเชียนจีเป็นผู้นำตะกูลกงซุน และเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า!
วิชาค่ายกล หากสามารถฝึกถึงระดับห้า ด้วยการสำนึกที่เป็นผลการฝึกตนของราชายุทธ์ สามารถควบคุมธงให้ก่อตัวเป็นค่ายกลเพื่อสังหารศัตรู ความแข็งแกร่งนั้น แข็งแกร่งกว่าราชายุทธ์ระดับเดียวกันอย่างมาก
ทั้งเหลยเว่ยหลงและกงซุนเชียนจี พลังของทั้งสองไม่ได้ด้วยไปกว่าราชายุทธ์ผู้กล้าแกร่งของเหวินเซวียนหง
ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ทั้งสองลงมือ การขู่บังคับที่ยิ่งใหญ่ได้กวาดล้างเทือกเขากวนเหลย เหล่าอสูรกาย จอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ ต่างก็ทั้งหวาดกลัวและวิตกกังวล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...