มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 189

“ดูเหมือนจะเป็นอัจฉริยะสมาชิกขององค์กรนักล่ายุทธ์ หลังจากผ่านการแข่งเอาตัวรอดในรอบแรก ผลการฝึกตนทะลวงจากฝึกจิตครึ่งก้าวสู่ฝึกจิตขั้นหนึ่ง”

“ฝึกจิตขั้นหนึ่งสามารถสังหารฝึกจิตขั้นสามผ่านด่านชั้นที่หก แต่กลับต้องมาหยุดลงในชั้นที่เจ็ด”

“เหอะเหอะ ชั้นที่เจ็ดมันผ่านง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? แม้จะเป็นฝึกจิตขั้นสี่ที่ติดอันดับหนึ่ง ก็ไม่สามารถผ่านไปได้”

“ผ่านชั้นที่หกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ฝึกจิตขั้นสามลงไปต้องใช้อาวุธวิเศษและวิธีการพิเศษถึงสามารถผ่านได้ แม้จะเป็นฝึกจิตขั้นสามเหมือนกัน การผ่านด่านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฝึกจิตขั้นสามในหอคอยมังกรบินไม่ใช่ฝึกจิตขั้นสามทั่วไป”

ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์์ที่อยู่บนเรือรบทั้งหลายพูดคุยกัน สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่รายชื่ออันดับบนศิลาหยกเขียว

หลัวซิวผ่านด้านเร็วมาก ดังนั้นรายชื่อของเขาจึงขึ้นไปเป็นอันดับสองชั่วคราว

แต่อีกไม่นานคนอื่นที่สามารถผ่านด่านชั้นที่หก คะแนนของพวกเขาก็จะไล่ตามมาจนทัน

ในขณะเดียวกัน มีคนบางกลุ่มถูกส่งตัวออกมาจากหอคอยมังกรบิน ส่วนใหญ่สีหน้าซีดขาว ไร้ร่องรอยของเลือด บางคนก็มีคราบเลือดติดอยู่ที่มุมปาก บนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนบางกลุ่ม กลิ่นอายที่ประทับอยู่บนศิลาหยกเขียวหายไป แสดงว่าตายแล้ว!

“เอาชนะข้า แล้วจะได้รับรางวัลที่สามารถผ่านด่านไปได้”

ชายชุดดำถือดาบที่ปรากฏตัวขึ้นไม่ได้ลงมือทันที แต่พูดกับหลัวซิวด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมยแทน

“เจ้าสามารถพูด?” หลัวซิวแสดงสีหน้าประหลาดใจ

ทว่าชายชุดดำกลับไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่เดินถือดาบก้าวเข้ามาหาหลัวซิว

หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของหอคอยมังกรบิน ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงหก คู่ต่อสู้ที่ปรากฏตัวขึ้นจะลงมือโดยตรง ไม่มีการพูดคุยแม้แต่คำเดียว เหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่ร้ายจิตใจ

แต่คู่ต่อสู้ที่ปรากฏตัวขึ้นในชั้นที่เจ็ดกลับสามารถพูดได้ ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ฉันที่เจ็ดขึ้นไป ขอเพียงแค่ผ่านด่านก็จะได้รับของรางวัล

เมื่อเป็นแบบนี้ก็หมายความว่าชั้นที่เจ็ดเป็นเหมือนลุ่มแม่น้ำที่แบ่งเขต แม้ในอดีตที่ห่างไกล คนที่สามารถผ่านด่านชั้นที่เจ็ดก็มีแต่อัจฉริยะที่แท้จริง

ก่อนที่จะสามารถฝ่าทะลวงปรมาจารย์ฝึกจิต หลัวซิวสามารถต้านทานฝึกจิตขั้นสี่ด้วยพลังทั้งหมดที่มี

ปัจจุบันผลการฝึกตนบรรลุถึงฝึกจิตขั้นสี่ แต่เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งฝึกจิตขั้นเจ็ด ยังคงอยู่ห่างชั้นกันไป

หากให้เวลาเขาในการเพิ่มพูนผลการฝึกตนอีกสองสาม ผ่านด่านชั้นที่เจ็ดย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ด้วยพลังในปัจจุบัน เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจมากเท่าไหร่

“ลองสู้อย่างเต็มกำลังก็แล้วกัน เมื่อไหร่ที่เผชิญกับความอันตราย ต้านทานเวลาสามอึดใจออกจากที่นี่น่าจะไม่ยาก” หลัวซิวคิดในใจ

ทันใดนั้น ชายชุดดำถือดาบเพิ่มความเร็วอย่างกะทันหัน เพียงแค่พริบตาเดียวมาปรากฏตัวตรงหน้าพร้อมกับปลดปล่อยพลังดาบที่บ้าคลั่งออกมา

กระบี่ยุทธ์ถูกชักออกจากฝัก ทันทีที่ดาบและกระบี่กระทบกัน ประกายไฟสาดกระจายไปทั่ว หลัวซิวส่งเสียงอู้อี้ร่างกายลอยกระเด็นออกไป

“แข็งแกร่งมาก!”

แววตาของหลัวซิวเย็นชาลง ภายในใจเต็มไปด้วยความตกใจ

สิ่งที่เขาตกใจไม่เพียงเป็นเพราะปราณแท้ของคู่ต่อสู้แข็งแกร่งมาก อย่างไรก็ตามฝึกจิตขั้นเจ็ดมีปราณแท้ระดับนี้ก็เป็นเรื่องปกติ

สิ่งที่ทำให้เขาตกใจของจริงคือการโจมตีของชายชุดดำคนนี้มีห้วงดาบแฝงอยู่ เขาสามารถควบคุมพลังห้วงยุทธ์!

ในประเทศเทียนหวู ราชายุทธ์มากมายไม่สามารถควบคุมห่วงยุทธ์ การฝึกจิตที่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของห้วงยุทธ์ยิ่งหายากยิ่ง มีเพียงอัจฉริยะระดับแนวหน้า

เมื่อเป็นแบบนี้ก็หมายความว่า คู่ต่อสู้ที่หลัวซิวกำลังเผชิญหน้าไม่ใช่ฝึกจิตขั้นเจ็ดทั่วไป แต่เป็นยอดฝีมือฝึกจิตขั้นเจ็ดระดับแนวหน้า

ถ้ายอดฝีมือฝึกจิตขั้นเจ็ดแบบนี้เดินออกไป เกรงว่าปรมาจารย์โลกยุทธ์ขั้นเก้ามากมายก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้

คู่ต่อสู้แข็งแกร่งแบบนี้ หลัวซิวไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกหวาดกลัว ในทางกลับกันเจตนาแห่งการต่อสู้ของเขายิ่งพุ่งสูงขึ้น

ตอนที่เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่แดนพรสวรรค์ สามารถสังหารปรมาจารย์พรสวรรค์ขั้นเก้า

แม้จะบรรลุถึงแดนฝึกจิต การต่อสู้ก็เพิ่มระดับความยากขึ้น แต่เขามีไพ่ตายมากมาย ใช่ว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุคคลระดับนี้

“หึ่ม!”

ชายชุดดำฟันดาบออกไปอีกครั้ง ห้วงดาบล็อคเป้ามาที่ตัวของหลัวซิว ทำให้เขาไม่สามารถหลบพ้นการฟันครั้งนี้ แม้จะมีวิชาเคลื่อนย้ายที่ล้ำลึกเพียงใดก็ตาม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ