มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2671

เมื่อได้ยินสิ่งที่หลัวซิวพูดออกมา สีหน้าของสวีเจี้ยนชิวก็หมองคล้ำลงทันที เข้าพูดเยาะเย้ยขึ้นว่า “เป็นเรื่องน่าขำสิ้นดี เจ้าพูดออกมาเช่นนี้ แน่ใจแล้วหรือว่าจะเอาชนะข้าได้ ?”

ถึงแม้สวีเจี้ยนชิวจะหยิ่งยโส แต่ก็ไม่ใช่คนบุ่มบ่าม เขาได้ยินมานานแล้วว่า ศิษย์เอกคนใหม่ของภูเขาว่านเริ่นแห่งนี้ มีพรสวรรค์ในระดับจักรพรรดิเทพ

ในสายตาของสวีเจี้ยนชิว สิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพ เป็นเพียงกลอุบายที่ภูเขาว่านเริ่นสร้างขึ้นมาเท่านั้น อย่างไรเสีย ในระบบดาวมังกรฟ้า ยังไม่เคยได้ยินว่า มีใครสามารถครอบครองพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพได้ ถึงแม้จะมี ก็ต้องเข้าร่วมสำนักมังกรฟ้าอย่างแน่นอน จะมาเข้าร่วมภูเขาว่านเริ่นที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาได้เพียงไม่กี่ปีได้อย่างไร ?

ต่อให้เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพจริง แล้วอย่างไร ? ดูจากความผันผวนของผลการฝึกตนแล้ว หลัวซิวผู้นี้ มีผลการฝึกตนอยู่เพียงเทพมารระดับห้าช่วงกลางเท่านั้น อย่างมาก ก็มีความสามารถทัดเทียมกับเทพมารระดับหกช่วงกลางเท่านั้น ส่วนตัวของสวีเจี้ยนชิวเองนั้น เป็นถึงเทพมารระดับหกขั้นสูง ซึ่งไม่จัดว่าเป็นคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันเลยสักนิด

หลัวซิวไม่ได้สนใจคำเยาะเย้ยของสวีเจี้ยนชิว เขาเพียงพูดขึ้นช้า ๆ ว่า “หากเจ้าอยากคลานออกไป ข้าก็จะหักขาทั้งสองข้างของเจ้า และเหลือมือสองข้างเอาไว้ให้เจ้าใช้งาน แต่ถ้าหากเจ้าอยากถูกหามออกไป นั่นก็ยิ่งง่าย ข้าจะหักแขนขาของเจ้าให้หมด เช่นนั้นเจ้าก็ถูกหามออกไปได้เพียงอย่างเดียวแล้ว”

เมื่อคำพูดทำนองนี้ ดังเข้าในหูของสวีเจี้ยนชิว ทำให้แววตาของเขาปรากฏเจตนาฆ่าที่รุนแรงออกมาทันที “ไอ้พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดว่าตัวเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพจริง ๆ นะหรือ ? ต่อให้เจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพ ก็ไม่มีสิทธิ์ทำตัวหยิ่งยโสต่อหน้าข้า !”

“พอได้แล้ว !”

หลัวซิวยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด หงเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เดินออกมาด้วยใบหน้าอันงดงามที่ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง “ภูเขาว่านเริ่นไม่ใช่สำนักมังกรฟ้า เพราะฉะนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์มาอวดเบ่งที่นี่ !”

ขณะที่พูดอยู่นั้น หงเหยียนก็ลงมือทันที สวีเจี้ยนชิวเองก็คิดไม่ถึงว่า หงเหยียนจะกล้าลงมือกับตนเอง สีหน้าที่หยิ่งยโสจึงกลับกลายเป็นแข็งทื่อขึ้นในทันที

เดิมที เขาคิดว่าหลัวซิวไม่ใช่คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันกับตนเอง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหงเหยียน ทั้งสองเองก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน

ความสามารถระดับราชาเทพที่เขาพูดถึงนั้น ไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าหงเหยียน ผ่านไปเพียงครู่เดียว ก็ถูกทำร้ายจนใบหน้าบวมเป่ง

หงเหยียนลงมืออย่างออมแรง ถึงแม้นางจะรู้สึกดูถูกคนอย่างสวีเจี้ยนชิวเป็นอย่างยิ่ง แต่ภูเขาว่านเริ่นยังคงต่างชั้นจากสำนักมังกรฟ้ามากจริง ๆ หากนางลงมือเกินกว่าเหตุ จนทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องบาดหมางกัน อาจส่งผลเสียให้กับภูเขาว่านเริ่นได้

หลัวซิวสังเกตเห็นถึงความกังวลในขณะที่หงเหยียนลงมือ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “หงเหยียน เจ้าไม่ได้กินข้าวหรืออย่างไร ? อีกเดี๋ยวให้คนแบกเขาโยนออกจากภูเขาว่านเริ่นไปเสีย !”

แต่ไหนแต่ไรมา ภูเขาว่านเริ่นถดถอยและต่ำต้อยลงทุกวัน ๆ สาเหตุหลักเป็นเพราะแผนการระหว่าง เขาและราชาเทพว่านเริ่นที่วางไว้ในตอนแรก เพราะมีเพียงวิธีนี้ ที่จะสามารถรักษาภูเขาว่านเริ่นให้อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ และรอการกลับมาของเขาอีกครั้ง หลังจากฟื้นคืนชีพ

ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ภูเขาว่านเริ่นจึงไม่จำเป็นต้องทำตัวต่ำต้อยอย่างเช่นแต่ก่อนอีกต่อไป ก็แค่สำนักมังกรฟ้าที่ไม่นับว่าเป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์เสียด้วยซ้ำ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรมารังแกภูเขาว่านเริ่นได้ ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว แววตาของหงเหยียนก็ปรากฏความลังเลขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อหวนนึกถึงฐานะและที่มาที่ไปที่ดูลึกลับเป็นอย่างยิ่งของหลัวซิว ทำให้นางลงมืออย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น หลังจากได้ยินเสียง ศิษย์หลายคนของภูเขาว่านเริ่นที่มาสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ ต่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลัง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ธิดาเทพผู้อ่อนโยนและสงบนิ่งมาตลอด จะลงมือได้อย่างโหดร้ายเช่นนี้

“เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าจงจำเอาไว้ ราชาเทพว่านเริ่นคืออาจารย์ปู่ของพวกเจ้า ภูเขาว่านเริ่นเคยเป็นผู้สืบทอดระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ หากต้องกลัวแม้กระทั่งสำนักมังกรฟ้าเล็ก ๆ จะไม่เท่ากับเป็นการทำให้อาจารย์ปู่ของพวกเจ้าต้องเสียหน้าหรอกหรือ ?”

เมื่อได้ฟังคำพูดของหลัวซิวแล้ว หงเหยียนก็ยิ่งลงมือหนักขึ้น จนกระทั่งทำให้สวีเจี้ยนชิวนั้นหมดสติไป จากนั้นก็ถูกบรรดาศิษย์ของภูเขาว่านเริ่น จับโยนออกไปนอกภูเขาว่านเริ่น

หลัวซิวรู้สึกปลื้มใจไม่น้อย ที่หงเหยียนยอมฟังคำสั่งของตนเอง อย่างน้อยก็หมายความว่า คนรุ่นหลังของว่านเริ่นมีสติปัญญาอยู่บ้าง ไม่ใช่พวกโง่เกินเยียวยา

“ท่านนาย ความสามารถของภูเขาว่านเริ่นเรา ด้อยกว่าสำนักมังกรฟ้าไม่น้อยจริง ๆ” ถึงแม้ตอนต่อสู้จะรู้สึกสนุกและมีความสุข แต่หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว หงเหยียนก็ยังอดกังวลใจไม่ได้

เพราะนางรู้ดีว่า บิดาของสวีเจี้ยนชิวคือผู้อาวุโสที่กุมอำนาจของสำนักมังกรฟ้า จึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า เรื่องนี้การทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างสำนักมังกรฟ้ากับภูเขาว่านเริ่นขึ้นได้

แต่ไหนแต่ไรมา สำนักมังกรฟ้าเห็นภูเขาว่านเริ่นเป็นเสี้ยนหนามมาโดยตลอด แต่เพราะกลัวเส้นสนกลในและวิธีการอันแข็งแกร่งที่ราชาเทพว่านเริ่นทิ้งเอาไว้ ดังนั้นจึงยังไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ

ที่จริงแล้ว สำนักมังกรฟ้าเคยยื่นข้อเสนอที่จะให้หงเหยียนแต่งงานเข้าไป นี่ถือเป็นการหยั่งเชิงภูเขาว่านเริ่นวิธีหนึ่ง

ไม่นานนัก เรื่องที่สวีเจี้ยนชิวถูกคนทำร้ายบาดเจ็บสาหัสในภูเขาว่านเริ่น ก็รู้ไปถึงสำนักมังกรฟ้า เรื่องนี้ ทำให้ผู้อาวุโสผู้ซึ่งเป็นบิดาของสวีเจี้ยนชิวโกรธจัด

บิดาของสวีเจี้ยนชิว มีนามว่าสวีเจาหลง เป็นผู้อาวุโสที่มีผลการฝึกตนอยู่ในแดนเทพมารระดับเจ็ด

ในโลกมหาศักดิ์แปดด้าน สำนักตระกูลที่มีเทพมารระดับแปดเป็นผู้นำนั้น นับว่ามีพลังอำนาจที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่แล้ว อย่างไรเสีย เทพมารระดับเก้าก็มีอยู่เพียงน้อยนิด และส่วนมากมักเป็นผู้นำของกองกำลังใหญ่ระดับแนวหน้า ได้รับการเคารพบูชาเหมือนเทพเจ้า

ส่วนผู้สืบทอดระดับแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องมีผู้นำที่เป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นราชาเทพระดับเก้าเป็นอย่างน้อย อย่างเช่นภูเขาว่านเริ่นที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นกองกำลังในระดับนี้เช่นเดียวกัน

แต่หลังจากที่ราชาเทพว่านเริ่นปลงสังขารไปแล้ว ก็ไม่มีราชาเทพระดับเก้าปรากฏตัวขึ้นอีก จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ได้

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เวลาก็ล่วงเลยมาเนิ่นนาน บางกองกำลังก็ถดถอย บางกองกำลังก็เฟื่องฟู เหมือนกลับคลื่นที่มีขึ้นมีลงไม่แน่นอน

“ภูเขาว่านเริ่นตัวดี กล้าแตะต้องแม้กระทั่งลูกชายของผู้อาวุโสอย่างข้า คิดว่าพวกเขายังเป็นผู้สืบทอดระดับแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเช่นแต่ก่อนอีกหรืออย่างไร ?”

สวีเจาหลงโกรธจัด เขาเดินจ้ำอ้าวออกมาจากพื้นที่ฝึกตน จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังพระราชวังของเจ้าสำนักมังกรฟ้า

ทันทีที่เขาเข้ามา เสียงของเจ้าสำนักมังกรฟ้าก็ค่อย ๆ ดังขึ้น “ผู้อาวุโสสวี ข้ารู้จุดประสงค์ในการมาของท่านแล้ว ท่านสามารถพาคนไปถามหาความรับผิดชอบที่ภูเขาว่านเริ่นได้”

สวีเจาหลงตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็โน้มตัวคารวะคนที่นั่งอยู่ในส่วนลึกของพระราชวัง “ขอรับ !”

หลังจากขานรับแล้ว สวีเจาหลงก็หันหลังแล้วเดินจากไป ส่วนใบหน้าของเจ้าสำนักมังกรฟ้านั้น เขากลับไม่เคยเห็นแม้สักครั้ง

“คิดไม่ถึงเลยว่าภูเขาว่านเริ่นจะกล้าแกว่งเท้าหาเสี้ยน ข้าอยากรู้เหมือนกันว่า พวกเจ้ายังจะมีวิธีและเส้นสนกลในอะไรอีก”

ภายในพระราชวัง เสียงที่ไร้ความรู้สึกของเจ้าสำนักมังกรฟ้าดังก้องอยู่

สวีเจาหลงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก เขาก็รวบรวมสมัครพรรคพวก พร้อมทั้งผู้อาวุโสของสำนักมังกรฟ้าอีกสองคน และลูกศิษย์อีกจำนวนหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังภูเขาว่านเริ่นอย่างสมศักดิ์ศรี

ตอนที่คนของสำนักมังกรฟ้ามาถึง ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งห้าของภูเขาว่านเริ่นก็รู้ข่าวในทันที และต่างก็ค่อย ๆ หน้าถอดสี

“อาจารย์ ให้ใช้ค่ายกลป้องกันหรือไม่ ?” ผู้อาวุโสคนหนึ่ง หันไปเสนอแนะประมุขเขาลวี่โหลว

“ก็แค่ผู้อาวุโสตัวเล็ก ๆ สามคนกับศิษย์ที่ไม่เข้าชั้น คนพวกนี้ยังไม่มีคุณสมบัติพอถึงขั้นที่จะให้พวกเราภูเขาว่านเริ่นใช้ค่ายป้องกันใหญ่ได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ