“ดูท่าเจ้าไม่มีความคิดที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของข้าแล้วสินะ?”
มีความเย็นเยือกกระพริบผ่านไปในแววตาท่านหมี่ ตราบใดที่ยังคาดเดาศักยภาพของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ เขาไม่อยากทำอะไรบุ่มบ่าม ทว่ากลับไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมอ่อนข้อให้ชายหนุ่มคนหนึ่ง
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ท่านหมี่ก็ลงมือโจมตีโดยตรงแล้ว ปราณกระบี่สิบกว่าเล่มเฉือนซับไปทางหลัวซิวโดยตรง
ครั้งนี้หลัวซิวหยิบกระบี่ร่องฟ้าออกมาโดยตรง ถึงแม้เขาจะเคยสังหารเจ้าเมืองหวูซินอย่างเปียนหยวนสงที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับแปด แต่นั่นเป็นเพราะเปียนหยวนสงเพิ่งบรรลุ ผลการฝึกตนยังไม่มั่นคง
ส่วนท่านหมี่นี่กลับแตกต่างกัน เขาเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดเจ้าเก่าแล้ว ศักยภาพแข็งแกร่งกว่าเปียนหยวนสงไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
กระบี่ร่องฟ้าที่อยู่ในมือหลัวซิวถูกฟาดฟันออกไป อนัตตาถูกฉีดกระชากจนเกิดเป็นรอยสีดำขลับหนึ่งจุด
เตี๊ยง! เตี๊ยง! เตี๊ยง! ……
ปราณกระบี่ทั้งหลายที่เฉือนสับตรงเข้ามาถูกหลัวซิวทำลายล้าง พลังแว้งกัดที่ทรงพลังทำให้หลัวซิวถอยหลังกลับไปอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ถอยหลังกลับไป ปริภูมิที่อยู่ใต้เท้าล้วนถูกเขาเหยียบจนแตกสลาย
“หื้ม? ไม่นึกเลยว่าเทพมารระดับหกเล็ก ๆ คนหนึ่งจะสามารถต้านทานการโจมตีของข้าได้ ดูท่ากระบี่เล่มนี้ของเจ้าไม่ธรรมดามากเลยนี่”
ท่านหมี่หรี่ตาลง สายตาร่วงลงบนกระบี่ร่องฟ้าที่อยู่ในมือหลัวซิว มีความเร่าร้อนและความโลภทะลุออกมาจากแววตาเล็กน้อย เขามองกระบี่เทพเล่มนั้นเป็นสมบัติที่อยู่ในกระเป๋าตนเองแล้ว
ยกมือโบกครั้งหนึ่ง เสียงคำรามทั้งหลายก็ดังขึ้น ๆ ลง ๆ อสูรกายที่นับไม่ถ้วนก็ปรากฏในเมืองเยว่คง ดำมืดเป็นแถบแล้วพุ่งเบียดเสียดกันเข้าไปทางหลัวซิวพร้อมกัน
ระดับของอสูรกายเหล่านี้ไม่สูงมากนัก มากกว่านั้นคือส่วนมากเป็นเพียงเทพมารระดับหกเท่านั้น แต่ว่าจำนวนมีมากเกินไป จากจำนวนของอสูรกาย เพียงพอที่จะสามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดได้แล้ว
สำหรับนักทาสอสูรที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดอย่างท่านหมี่แล้ว ฝูงอสูรเทพระดับหกเป็นเพียงอสูรระดับขั้นพื้นฐานเท่านั้น เขายังไม่ได้ปลดปล่อยวิชาทาสอสูรที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงออกมาเลย
“เวิ่ง!”
มีรัศมีดวงหนึ่งบินออกมาจากหว่างคิ้วหลัวซิว ถัดจากนั้นมันก็ปรากฏเป็นเตาเซียนหนึ่งเตาลอยอยู่เหนือศีรษะเขา และมีเปลวไฟสีม่วงทองลุกลามลงมา
มือกำกระบี่ร่องฟ้า เหนือศีรษะมีเตากลั่นนภาจื่อเซียว หลัวซิวเรียกของขลังศัสตราวุธที่ทรงพลังที่สุดออกมาในเวลานี้แล้ว
อสูรกายเทพระดับหกกระโจนเข้ามา พวกมันต้านทานอัคคีเทพที่พรั่งพรูออกมาจากเตากลั่นนภาจื่อเซียวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หลัวซิวยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับยืนอยู่บนบัลลังก์ไร้พ่ายยังไงอย่างนั้น
ลาร์ปฏิบัติตามคำสั่งของหลัวซิว คอยคุ้มกันความปลอดภัยให้ถูโยวหมิง เขาจัดการตาแก่จากสำนักสรรพอสูรนี่ไม่ได้ แต่เขาเชื่อว่านายท่านของตัวเองต้องสามารถกำราบฝ่ายตรงข้ามได้แน่นอน
ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว อสูรกายก็ถูกเตาเซียนกลั่นแปรเป็นเถ้าธุลีไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว ฝูงอสูรปรากฏเป็นจำนวนมาก ทำให้ภายในเมืองเยว่คงวุ่นวายไม่น้อย ฝูงอสูรขนาดใหญ่ที่รวมตัวเข้าด้วยกันเหมือนดั่งผืนน้ำที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ส่วนตำแหน่งที่อยู่ของหลัวซิวนั้น กลับเหมือนดั่งพระอาทิตย์ที่ไม่มีวันมอดไหม้ สรรพวิชาไม่อาจทำลายล้างได้
“ของดีแฮะ!”
แววตาของท่านหมี่เป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ จากประสบการณ์ของเขา ย่อมดูออกอยู่แล้วว่าเตาเซียนสีม่วงทองนั่นแข็งแกร่งและล้ำค่ากว่ากระบี่เทพในเมื่อครู่นี้มาก
“ไปตายซะเถอะ!”
ท่านหมี่โบกมืออีกครั้งหนึ่ง อสูรกายเทพระดับเจ็ดร้อยกว่าตัวจึงคำรามแล้วพุ่งออกไป ทุกตัวล้วนมีขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารมาก รอบกายมีโซ่แห่งเกณฑ์ที่ถูกวิวัฒนาการมาจากพลังเต๋าลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป ลักษณะท่าทีดุดันแข็งกร้าว
ในห้วงจักรหยั่งรู้ ญาณเทวร่างมนุษย์ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมากะทันหัน ยกมือโบกครั้งหนึ่ง ใจแห่งศุภรที่ลอยอยู่ในตัวหยั่งรู้ก็ตกลงมาในมือเขา
ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว พลังตัวสำนักวิญญาณที่มากมายมหาศาลก็พรั่งพรูเข้าไปในใจแห่งศุภร และมีออร่าเกณฑ์เวลาที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ถูกกระตุ้นออกมา
เพลาไหลรวยสายหนึ่งที่ไหลทะยานอย่างไม่หยุดหย่อนปรากฏข้างกายหลัวซิว ภายในเวลาเสี้ยววินาทีเดียว ห้วงเวลาที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ถูกหยุดนิ่ง ภายในขอบเขตที่ถูกออร่าห้วงเวลาปกคลุม ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกทำให้หยุดนิ่ง ณ เสี้ยววินาทีนั้น
ใจแห่งศุภรที่ประกอบจากเศษทั้งห้าชิ้น แม้นมันยังไม่ใช่ใจแห่งศุภรที่สมบูรณ์แบบ แต่พลังเกณฑ์เวลาที่แฝงซ่อนอยู่ภายในก็ยังคงทรงพลังมาก แม้แต่อสูรกายเทพระดับเจ็ดร้อยกว่าตัวนั่นก็ถูกหยุดนิ่งแล้ว แม้กระทั่งออร่าเกณฑ์พลังเต๋าที่ลอนวนเป็นเกลียวอยู่รอบกายพวกมัน ก็ราวกับถูกแช่แข็งยังไงอย่างนั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
พลังสังหารของกระบี่ร่องฟ้าเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง กลั่นนภาจื่อเซียวสามารถต้านทานสรรพวิชา บวกกับมีการควบคุมสถานการณ์โดยใจแห่งศุภร สามารถพูดได้เลยว่าหลัวซิวไม่มีจุดอ่อนเลยแม้แต่ด้านเดียว เรียกได้เลยว่าสมบูรณ์แบบถึงขีดสุด
“สวรรค์ปราบ!”
เขาโคจรวิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการวิชาสวรรค์ปราบออกมา ปราณกระบี่สีแดงสดดั่งเลือดถูกฟาดฟันออกไป ทุกสรรพสิ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นอสูรกายเทพระดับหกหรือระดับเจ็ด ล้วนแตกสลายเป็นฝุ่นผง ณ เสี้ยววินาทีนี้ ตายอย่างสิ้นซาก
ฝูงอสูรที่เหมือนดังผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา ถูกหนึ่งกระบี่ที่หลัวซิวฟาดฟันออกไปจนกลายเป็นเส้นทางที่ว่างเปล่าหนึ่งทางภายในพริบตา
ท่านหมี่ที่เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวก็ตะลึงไปเช่นกัน ความเป็นมาของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำนี่เป็นอย่างไรกันแน่ ในมือเขามีอุบายที่เหลือเชื่อมากมายเช่นนี้เลยหรือ?
ท่านหมี่เบิกตากว้าง เมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วอันน่ากลัวที่หลัวซิวแสดงออกมาแล้ว สิ่งที่เขาใส่ใจมากกว่าคือฝ่ายตรงข้ามทะลุผ่านค่ายยากเย็นได้อย่างไร?
“หรือว่าบนตัวมันมีภัณฑ์เศษณ์ที่สามารถทลายการขวางกั้นของค่ายกลปริภูมิ? หรือไม่ก็ตัวมันเองเป็นนักค่ายเทพคนหนึ่งอยู่แล้ว?”
ท่านหมี่ไม่เข้าใจว่าสาเหตุมันเป็นอย่างไรกันแน่ ทว่าดูเหมือนสภาพการณ์จะมีเพียงสองประเภทนี้เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สภาพการณ์ประเภทแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า สภาพการณ์ที่สองนั้นเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเพียงผู้น้อยเทพมารระดับหกคนหนึ่งเท่านั้น
……
เมื่อปริภูมิและความเร็วหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก็จะเป็นความเร็วขั้นสูงสุด ท่านหมี่คือเทพมารระดับแปดช่วงกลาง ถึงแม้หลัวซิวจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ถ้าเกิดจะหลบหนีละก็ มาตรแม้นว่าเป็นเทพมารระดับแปดช่วงปลายก็อย่าคิดว่าจะสามารถขัดขวางเขาได้
หลังจากมาถึงสถานที่ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งแล้ว หลัวซิวก็เปิดเตากลั่นนภาจื่อเซียวออก แล้วปล่อยตัวลาร์และถูโยวหมิงออกมา
“สหายหลัว ขอบพระคุณเจ้ามากที่ช่วยชีวิตข้าไว้อีกครั้ง”ถูโยวหมิงรู้สึกเหมือนมีชีวิตรอดกลับมาจากภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากหออาโปรมย์ ต่อมาก็มีท่านหมี่ปรากฏตัวกะทันหันอีก หากไม่มีหลัวซิวละก็ ห้วงดาราแห่งนี้คงไม่มีคนที่ชื่อถูโยวหมิงอีกต่อไปแล้ว
“สหายโยหมิงไม่ต้องเกรงใจหรอก ไม่ว่าอย่างไรเจ้าและข้าก็ถือว่าเคยร่วมมือต่อต้านศัตรูตัวฉกาจมาแล้ว”หลัวซิวยิ้มพลางตอบกลับ
ถูโยวหมิงก็ยิ้มเช่นกัน “ชั่วชีวิตนี้ การที่ถูโยวหมิงข้าสามารถมีมิตรสหายอย่างสหายหลัวได้นั้น มันเป็นเกียรติยศของข้า จะว่าไปแล้วขณะที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ข้ายังไม่ประมาณตนอยากแก่งแย่งเศษกงล้อวัฏจักรธรรมมาจากเจ้าอยู่เลย……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ สีหน้าอารมณ์ของถูโยวหมิงก็ดูตึงเครียดขึ้นมา “สหายหลัว ในเมื่อเจ้ามองข้าเป็นสหายละก็ ข้าจำเป็นต้องย้ำเตือนเจ้าหนึ่งสิ่ง เศษกงล้อวัฏจักรธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย แม้นข้าจะทราบอยู่ว่าเจ้าอาจจะเป็นร่างที่ผู้แข็งแกร่งแห่งยุคกลับชาติมาเกิด แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะระมัดระวังหน่อย อย่าให้ผู้อื่นทราบเด็ดขาดว่าบนตัวเจ้ามีสมบัติเช่นนี้”
“อันที่จริงข้าก็รู้สึกสงสัยมากเช่นกัน สหายโยหมิงไม่เคยมาโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดมาก่อน ไยถึงรู้จักกงล้อวัฏจักรธรรมได้เล่า?”หลัวซิวก็ถามอย่างรู้สึกสงสัยเล็กน้อยเช่นกัน อย่างไรเสียในยุคสมัยที่กงล้อวัฏจักรธรรมบังเกิดนั้น มันยังห่างไกลจากยุคสมัยที่ถูโยวหมิงคงอยู่นานมาก ๆ
“ข้าทราบเรื่องทั้งหมดนี้จากถ้ำของผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่ง เมื่อนั้นข้ายังอยู่แค่แดนมกุฎเทพ ได้รับการถ่ายทอดสืบสานวิชาการฝึกเกณฑ์ความตายมาจากผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่งโดยบังเอิญ และเป็นเพราะมีโชคโอกาสในครั้งนั้นนั่นเอง ข้าถึงสามารถกลายเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิแห่งมหาโลกาพันสาม……”
เมื่อพูดถึงเรื่องราวในอดีต ถูโยวหมิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทอดถอนใจอีกครั้ง มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิแห่งมหาโลกาพันสามแล้วอย่างไร? เมื่อมาถึงโลกร้าง สุดท้ายก็เป็นเพียงมดตัวจ้อยที่ไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงอยู่ดีมิใช่หรือ?
“อีกทั้งข้ายังได้รับจดหมายส่วนตัวมาจากถ้ำของผู้แข็งแกร่งท่านนั้นอีกหนึ่งม้วนด้วย ด้านบนได้บันทึกไว้ว่าเศษกงล้อวัฏจักรธรรมคือของขลังที่สูงส่งอย่างยิ่ง หากผู้ใดได้ครอบครองมัน ก็จะสามารถควบคุมเทียนเต้าวัฏสงสาร กลายเป็นผู้ที่มีอำนาจปกครองจักรวาลฟ้าดิน จ้าวแห่งวัฏสงสาร”
ถูโยวหมิงแหงนหน้าเบิ่งมองห้วงดาราพลางพูดอย่างหดหู่ใจ “และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง ครั้นเมื่อข้าสัมผัสออร่าวัฏสงสารได้จากตัวเจ้า ข้าถึงได้ฟื้นตื่นขึ้นมาจากโลงศพเทว ช่างไม่รู้เสียจริงว่าเมื่อหลายแสนล้านปีก่อนมีผู้แข็งแกร่งอย่างไรกันแน่ ถึงขั้นสามารถทลายของขลังที่ทรงพลังเช่นนั้นให้แตกได้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...