มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2697

“สำนักสรรพอสูรหมายตาเจ้าไว้แล้ว ต่อไปสหายโยหมิงมีแผนการอะไรหรือไม่?”

อ้างอิงจากเบาะแสที่หลัวซิวทราบ สำนักสรรพอสูรที่อยู่ในธาตุดาราเคล็ดอัสนีถือเป็นกองกำลังขั้นสุดยอด เจ้าสำนักสรรพอสูรถังกู่สงยิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับเก้า

อย่าว่าแต่ถังกู่สงเลย มาตรแม้นว่าเป็นท่านหมี่ในสำนักสรรพอสูร หลัวซิวก็ไม่มั่นใจแล้วว่าจะสามารถเอาชนะเขาได้ จากศักยภาพของถูโยวหมิง หากอยู่ในธาตุดาราเคล็ดอัสนีต่อไปเรื่อย ๆ ละก็ ไม่เร็วก็ช้าต้องถูกคนในสำนักสรรพอสูรจับกุมตัวได้แน่นอน

หลัวซิวไม่ได้บอกแต่อย่างใดว่าเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดขึ้นจากไฟเทวชิงเทียน ด้านหนึ่งเป็นเพราะนี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาของตัวเขาเองเท่านั้น ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะต่อให้บอกถูโยวหมิงแล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ได้ มีแต่จะทำให้ความกังวลใจเพิ่มขึ้นเปล่า ๆ เท่านั้นแหละ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องถึงซูเสว่หลันด้วย 

“ข้าวางแผนที่จะเดินทางไปธาตุดาราว่านเริ่นที่เจ้าบอกก่อน ไปตามหาคนในสำนักจักรพรรดิมรณะของข้า จากนั้นค่อยไปธาตุดาราอัคคีศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นอยู่ค่อนข้างไกลจากธาตุดาราเคล็ดอัสนี มาตรแม้นว่าเป็นคนในสำนักสรรพอสูร ก็น่าจะไม่ขยายอำนาจไปถึงที่นั่น”ถูโยวหมิงตอบกลับเช่นนี้ 

ถูกหลัวซิวช่วยชีวิตเอาไว้ติดต่อกันสองครั้ง ทำให้ถูโยวหมิงก็เข้าใจแล้วว่าตนจะซึมเซาเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้วงดาราแห่งนี้ดี ๆ ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือไปหาสถานที่ที่ปลอดภัยมั่นคง เพื่อยกระดับผลการฝึกตนของตัวเอง

ถึงแม้เขาจะไม่ได้กำเนิดในโลกร้าง ทว่าขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในมหาโลกาพันสาม เขาก็ได้รับโชคโอกาสมาไม่น้อยเช่นกัน หากสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างมั่นคง อนาคตก็สามารถยึดครองตำแหน่งหนึ่งอยู่ในห้วงดาราแห่งโลกร้างที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ได้เช่นกัน 

“จากไปก็ดีเหมือนกัน หวังว่าอนาคตเจ้าและข้าจักมีวันได้พบกันอีก”

หลัวซิวก็รู้สึกว่าถูโยวหมิงตัดสินใจถูกต้องแล้ว เขาหยิบแหวนเก็บของออกมาหนึ่งวง แล้ววางลงบนมือถูโยวหมิง

ถูโยวหมิงใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจแหวนเก็บของหนึ่งรอบ ก่อนจะทำให้เขาตกใจจนสะดุ้งทันที เพราะภายในแหวนเก็บของที่หลัวซิวให้เขามีโอสถแก่นแท้จำนวนมาก และยิ่งมีหินแก้วดั้งเดิม รวมไปถึงเม็ดยาเซียนระดับหกต่าง ๆ ตลอดจนเม็ดยาเซียนระดับเจ็ด และยิ่งมีของขลังศัสตราวุธอย่างอาวุธเทพระดับแปดด้วย!

สามารถพูดได้เลยว่าเมื่อมีสิ่งของเหล่านี้ ขอแค่ไม่รุกรานและมีปัญหากับศัตรูที่แข็งแกร่ง เขาสามารถตามหาสถานที่แห่งหนึ่งแล้วฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดได้อย่างสมบูรณ์เลย ถึงครานั้นเมื่อเขามีศักยภาพแล้ว หากต้องการทรัพยากรที่มากกว่าก็จะทำได้ง่ายยิ่งขึ้น 

“ของเหล่านี้ล้ำค่ามากเกินไปแล้ว ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก อีกทั้งตัวสหายหลัวเองก็ต้องการทรัพยากรในการฝึกตนเช่นกัน”ถึงแม้ถูโยวหมิงจะรู้สึกหวั่นไหวมาก แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะบ่ายเบี่ยง 

“สหายโยหมิงไม่ต้องเกรงใจแล้ว ข้าไม่ขาดแคลนทรัพยากรเหล่านี้หรอก”หลัวซิวไม่ได้เอาแหวนเก็บของกลับมา เขารู้อยู่ว่าทรัพย์สินทั้งหมดของถูโยวหมิงถูกใช้ในหออาโปรมย์จนเกลี้ยงแล้ว หากไม่มีอะไรเลยละก็ ไม่ว่าเขาจะไปถึงที่ใดก็ยืนหยัดปักหลักได้ยากมาก 

ส่วนการฝึกตนของตัวเขาเองนั้น จะมีของเหล่านี้หรือไม่มีก็ได้ หากเขาต้องการยกระดับผลการฝึกตนศักยภาพอย่างรวดเร็ว การตกตะกอนสะสมทรัพยากรจำนวนมากนั้นเป็นเพียงเรื่องรอง สิ่งที่ต้องการมากกว่าคือโชคและโอกาส!

หากได้รับโชคและโอกาสที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและการสะสมตกตะกอน เขาก็สามารถได้รับการยกระดับที่มากล้นเช่นกัน 

ถูโยวหมิงเก็บแหวนเก็บของเข้าที่ ก่อนจะถามว่า “สหายหลัวมีแผนการอย่างไรบ้างหรือ?” 

“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการทางฝั่งนี้อีกนิดหน่อย”หลัวซิวตอบกลับเช่นนี้ สาเหตุที่เขาเลือกที่จะอยู่ต่อนั้น ต้องเป็นเพราะไฟเทวชิงเทียนอยู่แล้ว ทว่าเขาแค่ไม่สะดวกที่จะบอกถูโยวหมิงเท่านั้นแหละ 

“เช่นนั้นสหายหลัวก็ระวังตัวให้มาก ๆ ล่ะ”ถูโยวหมิงก็ทราบเช่นกันว่าอุบายของหลัวซิวปราดเปรื่องมาก ในเมื่อเขาเลือกที่จะอยู่ต่อ เช่นนั้นก็ต้องมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดโน้มน้าวใจอะไร 

ชีวิตของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ยาวนานมาก แต่ห้วงดาราแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่จากลากัน บางทีกาลเวลาหลักร้อยล้านปีผ่านไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะสามารถได้กลับมาพบกันอีกเสมอไป 

“ศักยภาพของข้ายังอ่อนมาก ๆ”

หลังจากที่ถูโยวหมิงจากไปแล้ว หลัวซิวยืนอยู่บนหินอุกกาบาตที่เคลื่อนไหวอยู่ในห้วงดารา พลางพูดพึมพำอย่างหดหู่ใจคนเดียว 

หลังจากผ่านการต่อสู้กับท่านหมี่ เขาก็ค้นพบว่าศักยภาพของตัวเองมากสุดแค่เทียบเท่าเทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิ เมื่อเผชิญหน้ากับท่านหมี่ที่เป็นเทพมารระดับแปดช่วงกลางก็รับมือไม่ค่อยไหวแล้ว ถึงแม้เมื่ออาศัยความแข็งแกร่งของของขลังศัสตราวุธจะสามารถต่อกรได้ แต่ผลการฝึกตนของตนเองกลับประคองการสูญเสียในศึกการต่อสู้ที่ยาวนานไม่ไหว 

เขาคาดการณ์ว่าหากตนทุ่มสุดชีวิตละก็ น่าจะมีโอกาสห้าส่วนสามารถสังหารท่านหมี่ได้อยู่ แต่ถ้าเกิดไม่มีความจำเป็นละก็ เขาจะไม่ทุ่มสุดชีวิตกับฝ่ายตรงข้าม เพราะฉะนั้นขณะที่อยู่ในเมืองเยว่คง เขาถึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายถดถอย 

ทว่าเมื่อปะทะกันโดยตรงแล้ว โอกาสในการชนะถือว่าไม่สูง แต่หลัวซิวยังมีอุบายเพิ่มเสริมอื่น ๆ อีก และอุบัติที่มีประสิทธิผลชัดเจนมากที่สุดก็ต้องเป็นค่ายกลอยู่แล้ว 

ตั้งแต่ผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับหกเป็นต้นมา วิถีไร้ลักษณ์ของเขาก็สามารถวิวัฒนาการพลังเกณฑ์ออกมาได้แล้ว การสลักจัดวางค่ายเทพระดับเจ็ด เป็นเรื่องที่เขาสามารถทำได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก หากทุ่มแรงอีกนิดหนึ่งละก็ เขาก็สามารถจัดวางค่ายเทพระดับแปดออกมาได้เช่นกัน 

ถึงแม้ใช่ว่าค่ายเทพระดับแปดจะสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งอย่างท่านหมี่ได้เสมอไป แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้อัตราในการชนะของเขาเพิ่มขึ้นถึงเจ็ดส่วน!

อัตราชนะเจ็ดส่วน เป็นอัตราที่คุ้มแก่การลงมือแล้ว การที่อยากมีชีวิตรอดอยู่ในโลกของจอมยุทธ์นั้น หากจะลงมือกระทำเรื่องทุกอย่างก็ต่อเมื่อมีความมั่นใจสิบส่วนละก็ เช่นนั้นต้องพลาดอะไรดี ๆ ไปเยอะมากแน่นอน

การฝึกตนและชีวิตบนวิถียุทธ์ล้วนเป็นเฉกเช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบาก ล้วนเป็นการพนัน 

ลาร์ยังคงติดตามอยู่ด้านหลังหลัวซิวอย่างจงรักภักดีอยู่เช่นเคย หลัวซิววางแผนที่จะหาสถานที่แห่งหนึ่งแล้วจัดวางค่ายกลให้เสร็จสรรพ จากนั้นค่อยหาโอกาสล่อตาแก่ท่านหมี่นั่นมา ขอแค่สามารถกำราบตาแก่นั่น เช่นนั้นเขาก็มีโอกาสทราบข่าวคราวและเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับซูเสว่หลันและไฟเทวชิงเทียนได้จากปากฝ่ายตรงข้าม

เบิ่งมองเค้าโครงของทั้งดารามังกรดำจากที่ไกล ๆ สุดท้ายหลัวซิวก็ได้เลือกฝูงหินอุกกาบาตที่อยู่ห่างไม่ไกลจากดารามังกรดำมากนัก อดีตฝูงอุกกาบาตนี้เคยเป็นพสุธาห้วงดาราแห่งหนึ่ง ต่อมาหลังจากผู้แข็งแกร่งประมือกันจนมันแตกสลายแล้ว มันจึงประกอบเป็นลักษณะของซากปรักหักพัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ