มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2751

ถึงแม้หลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ยจะอยู่ห่างจากชนเผ่าเฉว่ซ่าอีกไกลมาก ๆ ทว่ากระแสสัมผัสของผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าแข็งแกร่งมากเพียงใด เจ้าเผ่าสตรีที่อยู่ในชุดสีเลือดกวาดมองมาทางนี้ด้วยแววตาที่เยือกเย็น จิตสังหารเข้มข้น

ผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพคนหนึ่งที่ฝึกวิถีแห่งการสังหารนั้น น่ากลัวกว่าราชาเทพระดับเก้าทั่วไปมากอย่างแน่นอน เจ้าเผ่าสตรีคนนี้สัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ยต่างไม่สูง จึงไม่ได้นำมาใส่ใจ ก่อนจะกำชับเทียนซ่าเจินจวินที่อยู่ข้างกายอย่างเรื่อยเปื่อย: “เทียนซ่า เจ้าไปสังหารผู้น้อยสองตัวนั้นซะ จะได้ป้องกันไม่ให้มีปัญหาใหม่แทรกซ้อนขึ้นมา แล้วรบกวนภารกิจใหญ่ของชนเผ่าเฉว่ซ่าข้า!”

“ขอรับ! เจ้าเผ่า!”

เทียนซ่าเจินจวินตอบตกลงอย่างเคารพนอบน้อม จากนั้นตัวสำนึกก็แผ่สำรวจมาโดยที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ เมื่อเขาสังเกตเห็นหลัวซิว ก็จำหลัวซิวได้ภายในพริบตา 

“หลัวซิว! ฮ่าฮ่า……สวรรค์มีทางมึงไม่ไป นรกไร้ประตูมึงดันบุกเข้ามา มึงได้รับสมบัติมาจากโลกาแดนปริศนาของผู้แข็งแกร่งตระกูลเทพสงครามไม่น้อยเลยสินะ? วันนี้ถูกลิขิตไปแล้วว่ามึงต้องตกอยู่ในเงื้อมมือเจินจวินอย่างกูแน่นอน!”

เทียนซ่าเจินจวินย่างกรายมาอย่างน่าเกรงขาม ครั้นเมื่ออยู่สถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคแปด ภายใต้การขัดขวางจากมหาค่ายสยบฟ้า กลุ่มเทพมารระดับเก้าอย่างพวกเขายังไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงเดินวนเวียนอยู่ด้านนอก ซึ่งมีเพียงหลัวซิวคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ภายในค่ายกล

ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา เทียนซ่าเจินจวินก็รู้แล้วว่าบนตัวผู้น้อยคนนี้ต้องมีของล้ำค่าอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นต้องไม่สามารถต้านทานการกดอัดของมหาค่ายสยบฟ้าได้แน่นอน 

“หึ ก็แค่เทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิคนหนึ่ง ก็บังอาจมาพูดจาโอหังต่อหน้าท่านชายอย่างกูอย่างนั้นหรือ?”

หลัวซิวยังไม่ได้ลงมือ สวีเซิ่งเจี๋ยก็โบกมือเรียกดาบกระบี่ศัสตราวุธออกมาแล้ว ฟาดฟันดาบกระบี่ออกไป ฉีกกระชากอนัตตา ราวกับมังกรดาบและมังกรกระบี่ตัวหนึ่ง ทำให้เทียนซ่าเจินจวินจมหายไปในพลังดาบและปราณกระบี่ที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ภายในพริบตา

“ผู้น้อยมึงรนหาที่ตาย!”

เทียนซ่าเจินจวินโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ก่อนจะเรียกของขลังคุ้มกันชิ้นหนึ่งออกมาต้านทานพลังโจมตีทั้งหมด ง้างมือครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มีจิตสังหารที่มากมายมหาศาลผนึกรวมกันอยู่กลางฝ่ามือ แล้วกดอัดไปทางสวีเซิ่งเจี๋ย

มีรัศมีเทวแย้มบานออกมารอบกายสวีเซิ่งเจี๋ย สามารถพูดได้เลยว่าร่างเทวไร้มลทินของเขาสามารถต้านทานสรรพวิชา เมื่อจิตสังหารที่มากมายมหาศาลประชิดใกล้ร่างกายเขา จิตสังหารเหล่านั้นก็สลายหายไปในรัศมีเทว หายไปอย่างไร้ร่องรอย 

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว สีหน้าของเทียนซ่าเจินจวินก็เปลี่ยนไป ยังไม่ทันรอให้เขาตอบสนองกลับมาได้ เงาร่างหลัวซิวก็กระพริบทีหนึ่ง ก่อนจะปรากฏด้านหลังเขา แล้วปล่อยหมัดออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น 

“เทียนซ่าเจินจวิน มึงไม่เคยได้ยินคำว่าไม่พบกัน 3 วัน ควรประเมินกันใหม่หรือ?”

เพียงหมัดเดียว หลัวซิวก็โจมตีผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าอย่างเทียนซ่าเจินจวินจนกระอักเลือด ร่างกายกลิ้งกระเด็นออกไปสิบกว่าไมล์ด้วยสภาพที่ดูจนตรอก

อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่ได้ไล่โจมตีต่อแต่อย่างใด แววตามองไปทางทะเลสาบมรณากะทันหัน สีหน้าอารมณ์ดูตึงเครียด 

เขาสัมผัสพลังออร่าที่น่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตได้จากทิศทางของทะเลสาบมรณา ซึ่งพลังออร่าดังกล่าวแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดหวั่นใจสั่น 

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็เข้าใจขึ้นมาภายในพริบตาเช่นกันว่าน่าจะเป็นเพราะเขาย้ายแท่นบูชามรณาที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบมรณาออกไป จึงทำให้ผู้แข็งแกร่งคนใดคนหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่ในทะเลสาบมรณาตื่นตกใจ 

อ้างอิงจากการคาดเดาของเขา หากที่นี่เป็นสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคสอง ในเมื่อมีทะเลสาบมรณาคงอยู่ แล้วจะมีทางไม่มีญาณมรณะที่แข็งแกร่งปกปักรักษาอยู่ในทะเลสาบมรณาได้อย่างไร?

เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ตรงระหว่างคิ้วหลัวซิวก็เป็นประกายขึ้นมา จากนั้นหว่างคิ้วก็แยกออก เขาใช้พลังเวทย์และผลการฝึกตนกระตุ้นแท่นบูชามรณาที่เก็บอยู่ในห้วงจักรหยั่งรู้ ก่อนจะมีแสงมืดดวงหนึ่งบินออกมาจากหว่างคิ้วภายในพริบตา แล้วพุ่งยิงไปทางเทียนซ่าเจินจวิน 

“ไอ้ผู้น้อยที่สมควรตาย ไม่นึกเลยว่ามึงจะกล้าจู่โจมเจินจวินอย่างกูอย่างนั้นหรือ!”

เทียนซ่าเจินจวินโกรธมากจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ง้างมือขยำทีเดียว ก็ทำการบีบแสงมืดดวงนั้นจนแตกสลายแล้ว ก่อนหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วพูด: “นอกจากจู่โจมแล้ว มึงคิดว่าอุบายประเภทนี้จะสามารถสร้างความเสียหายให้แก่เจินจวินอย่างกูได้อย่างนั้นรึ? หากกูโกรธเกรี้ยวขึ้นมาจริง ๆ มดตัวจ้อยอย่างมึงน่ะแค่ง้างมือก็บีบให้ตายได้แล้ว!”

เทียนซ่าเจินจวินคิดว่าอุบายของหลัวซิวก็มีดีแค่นี้แหละ แต่หารู้ไม่ว่าขณะที่เขาบีบแสงมือดวงนั้นแตก ออร่าของแท่นบูชามรณาที่แฝงซ่อนอยู่ในแสงมืดก็ได้สิงสถิตเข้าไปในร่างกายเขาแล้ว 

หลัวซิวไม่มีความตั้งใจที่จะเสียเวลาอยู่กับเทียนซ่าเจินจวินเลยด้วยซ้ำ ภายใต้การปลุกเสกจากเกณฑ์ความเร็วและปริภูมิ ร่างกายเขาก็กลายเป็นลำแสงดวงหนึ่งภายในพริบตา ก่อนจะบินไปยังขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป 

“เชี่ย! สหายหลัวเจ้าจากไปเช่นนี้เลยหรือ?”

สวีเซิ่งเจี๋ยเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปลงมือ แต่กลับเห็นหลัวซิวบินหนีกะทันหัน ใบหน้าจึงดูมึนงงขึ้นมาทันที ในมุมมองของเขา เทียนซ่าเจินจวินนี่เป็นเพียงเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิเท่านั้น อย่าว่าแต่เขาและหลัวซิวร่วมมือกันเลย ต่อให้สู้กันตัวต่อตัว เสียเวลาเปลืองแรงเพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถกำราบฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลัวซิวจึงต้องบินหนีกะทันหัน ดูจากสภาพที่ลุกลนนั่น ดูเหมือนจะรีบมาก ๆ 

ทันใดนั้นเอง แววตาของสวีเซิ่งเจี๋ยก็เป็นประกายขึ้นมาพลางพูดพึมพำ: “สหายหลัวต้องกังวลว่าชนเผ่าราชาเทพแห่งชนเผ่าเฉว่ซ่าจะลงมือแน่นอน หากได้ปะทะกับราชาเทพละก็ ต่อให้ข้าและสหายหลัวร่วมมือกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่นอน”

เมื่อคิดจุดนี้ได้ สวีเซิ่งเจี๋ยจึงผันร่างเป็นแสงกลดวงหนึ่งอย่างไม่ลังเลใจเช่นกัน ก่อนจะไล่ตามไปยังทิศทางที่หลัวซิวจากไป

ทั้งสองบินหนีตามกันไปด้วยความเร็วที่น่าทึ่งมาก ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เทียนซ่าเจินจวินยืนงงอยู่กับที่ ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมึนงงและความสับสน หรือว่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนสองตัวนั้นเกรงกลัวศักยภาพของข้าจริง ๆ ถึงได้หนีหางจุกตูดอย่างน่าสมเพช? 

“แค่ผู้น้อยสองคนก็กำราบไม่ได้หรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ