มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2752

หลังจากออกมาจากละแวกใกล้เคียงของทะเลสาบมรณาแห่งเขตพื้นที่ที่สอง ไม่นานนัก หลัวซิวก็มาถึงเขตพื้นที่ที่สาม อาณาเพลา 

เบิ่งมองออกไปไกล ๆ ด้านหน้าคือหุบเขาแห่งหนึ่ง ปริมาตรของหุบเขาแห่งนี้ใหญ่โตจนน่าทึ่ง กว้างไกลลิบตา มองไปไม่เห็นขอบเขต และที่นี่ก็คือหุบเขากาลเวลา

ภายในขอบเขตของหุบเขากาลเวลา มีเพียงสีขาวบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีสีสันอื่นใดอีกเลย อีกทั้งภายในหุบเขามีออร่าพลังเต๋าของเกณฑ์เวลาตลบฟุ้งสั่งสมมาอย่างยาวนาน ทำให้ทันทีที่เข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ กฎและเกณฑ์อื่น ๆ ล้วนจะถูกห้วงเวลากดอัด

“สถานที่แห่งนี้ไม่ธรรมดา!”

สวีเซิ่งเจี๋ยยืนอยู่ข้างกายหลัวซิว พลางเพ่งมองหุบเขาแห่งนี้พลางพูดกระแทกเสียงต่ำ 

หลัวซิวก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน เบิ่งมองออกไปไกล ๆ ภายในหุบเขากาลเวลามีพระราชวังที่สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนรางหลายหลัง ภายในพระราชวังทุกหลัง ล้วนราวกับมีเทพมารที่แข็งแกร่งคอยปกปักรักษาอยู่ที่นี่ 

สำหรับหกเขตพื้นที่ใหญ่ของแดนสุขาวดีนั้น ยิ่งเป็นเขตพื้นที่ที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งอันตราย ในอดีตก็มีเพียงผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเท่านั้นที่สามารถฝ่าฟันเข้าไปได้ มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ สำหรับเรื่องเลื่องลือต่าง ๆ ของเขตพื้นที่ที่หกนั้น ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าลือเท่านั้น ซึ่งยังไม่เคยได้รับการพิสูจน์มาก่อน 

“อย่าริอ่านเข้าใกล้พระราชวังเหล่านั้น”

หลัวซิวเก็บพลังออร่าของตัวเองกลับมา ก่อนจะย่างเท้าเดินเข้าไปในหุบเขากาลเวลา อันที่จริงภายในหุบเขากาลเวลาแห่งนี้มีค่ายกลต้องเทพต่าง ๆ ถูกจัดวางอยู่ เขามุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าพลางอนุมานในตัวหยั่งรู้ ก่อนจะทำการคัดเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด พยายามหลบเลี่ยงพระราชวังเหล่านั้นในหุบเขาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ 

เมื่อเดินเข้าไปในหุบเขากาลเวลา ก็มีออร่าแห่งกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปแพร่กระจายมา ซึ่งนี่ก็คือพลังของเกณฑ์ห้วงเวลา ทันทีที่ถูกห้วงเวลาเกาะกิน อายุขัยของทุกคนล้วนจะไหลหายไปด้วยระดับความเร็วที่น่าสยดสยองมาก

อย่างไรก็ตามเมื่อออร่าเกณฑ์ห้วงเวลาที่อยู่ในหุบเขาเข้าใกล้หลัวซิว พวกมันก็จะถูกสรรพวิถีล้วนว้างของวิถีไร้ลักษณ์ทำให้สลายหายไปอย่างต่อเนื่อง ออร่าที่ส่งผลกระทบต่อร่างเขาอย่างแท้จริงนั้น จึงเบาบางมาก ๆ แล้ว

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลัวซิวก็สามารถสัมผัสได้เช่นกันว่าอายุขัยของตัวเองกำลังไหลหายไป ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง อายุขัยก็หายไปสิบปีแล้ว!

ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แต่อย่างใด ภพชาตินี้เขาเพิ่งฝึกตนมาหนึ่งพันกว่าปี และจากแดนผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของเขา อย่างน้อยอายุขัยก็อยู่ที่หลักร้อยล้านปี เขาจึงยอมรับระดับความเร็วที่อายุขัยไหลหายไปประเภทนี้ได้อยู่ 

“ช่างเป็นเกณฑ์ห้วงเวลาที่น่ากลัวยิ่งนัก!”

สวีเซิ่งเจี๋ยก็เดินเข้ามาในหุบเขากาลเวลาตามเขาเช่นกัน แสงเทวไร้มลทินของเขาด้อยกว่าสรรพวิถีล้วนว้างหนึ่งระดับ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง อย่างน้อยอายุขัยก็หายไปเกือบร้อยปีเลย 

ในขณะเดียวกัน เขาสังเกตเห็นว่าเมื่อเกณฑ์ห้วงเวลาประชิดใกล้ร่างหลัวซิว พลังออร่าก็จะค่อย ๆ ลดทอนลงไปเช่นกัน นี่จึงทำให้มีความแปลกใจปรากฏในแววตาเขา “สหายหลัว หรือว่าเจ้าก็มีร่างเทวไร้มลทินเหมือนกัน?”

ร่างเทวไร้มลทินเป็นสิ่งที่หาพบได้ยากมาก ตั้งแต่โบราณกาลมาก็มีอุบัติขึ้นมาเป็นครั้งคราว หนึ่งยุคสมัยก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือใช่ว่าจะอุบัติขึ้นมาทุกยุคสมัยเสมอไป สวีเซิ่งเจี๋ยคิดว่าตัวเองมีฐานร่างที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองผู้ใดในโลกหล้านี้มาโดยตลอดเลย แล้วนี่จะทำให้เขาไม่ตะลึงได้อย่างไรเล่า?

“เจ้าลองเดาดูสิ”หลัวซิวยิ้มอ่อน ไม่ได้อธิบายแต่อย่างใด 

สวีเซิ่งเจี๋ยเห็นว่าเขาไม่อยากพูดมาก ก็รู้แล้วว่านี่คือความลับส่วนบุคคล จึงทำได้เพียงระงับความสงสัยในใจเอาไว้ ไม่ถามอะไรอีก

ระดับความเร็วที่ทั้งสองมุ่งหน้าไปข้างหน้าไม่เร็วเท่าไหร่นัก เนื่องจากตัวต้องห้ามในหุบเขากาลเวลามีเยอะเกินไป แม้นจากระดับฝีมือด้านค่ายกลของหลัวซิว บางครั้งก็ต้องหยุดเคลื่อนที่แล้วอนุมานตัวต้องห้ามที่อยู่ภายในก่อน ถึงจะกล้าย่างเท้ามุ่งหน้าไปข้างหน้าต่อ

ในส่วนของสวีเซิ่งเจี๋ยนั้น เขาไม่เข้าใจเรื่องค่ายกลเลยแม้แต่น้อย ล้วนทำได้เพียงเดินตามอยู่ด้านหลังหลัวซิว

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้นั้น ก็เป็นเพราะผลการฝึกตนศักยภาพของพวกเขาค่อนข้างต่ำ หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่ง ก็สามารถมองข้ามค่ายกลต้องเทพของที่นี่ได้โดยสิ้นเชิงเลย การใช้อำนาจฝืนบุกเข้าไปก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน

เพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปสองชั่วโมง ทั้งสองมาถึงเขตใจกลางหุบเขากาลเวลา ค่ายกลต้องเทพของที่นี่ถี่ยิบมากยิ่งขึ้น จึงทำให้หลัวซิวต้องขมวดคิ้วลงไปอย่างควบคุมไม่ได้ 

“สหายหลัวมีอะไรหรือ?”สวีเซิ่งเจี๋ยเดินขึ้นมาถาม 

“เราเดิมอ้อมพระราชวังที่ตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ไปไม่ได้!”

หลัวซิวใช้นิ้วชี้ไปทางพระราชวังที่สูงตระหง่านตรงหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดอย่างยิ่ง 

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าของสวีเซิ่งเจี๋ยก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน พวกเขาทั้งสองต่างสามารถสัมผัสได้ถึงอำนาจที่น่าเกรงขามและแข็งแกร่งจากพระราชวัง หากเดินอ้อมไม่ได้ละก็ เมื่อพวกเขาทั้งสองเดินข้ามผ่านพระราชวัง มีโอกาสทำให้ผู้แข็งแกร่งที่คอยปกปักรักษาอยู่ที่นี่ตื่นตกใจสูงมาก 

“บัดนี้สิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าเจ้าและข้ามีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ระหว่างเดินย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม หรือลองลุยฝ่าไปดู”หลัวซิวกล่าวเช่นนี้ 

“ย่อมถอยไม่ได้อยู่แล้ว!”

สวีเซิ่งเจี๋ยส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ แล้วพูดด้วยท่าทางทะนงองอาจ: “ตั้งแต่แซ่สวีออกมาสั่งสมเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นต้นมา ไม่ว่าจะประสบพบเจอกับภัยอันตรายแบบใด สวีเซิ่งเจี๋ยข้าก็ไม่เคยหลบหนีมาก่อน หากประสบกับความยากลำบากแล้วถดถอย แล้วยังคาดหวังการแสวงหาจุดสูงสุดบนวิถียุทธ์อีกหรือ?”

หลัวซิวสามารถสัมผัสความมั่นใจและความทะเยอทะยานอันแรงกล้าได้จากตัวสวีเซิ่งเจี๋ยอย่างชัดเจนเลย

ใช่แล้ว สวีเซิ่งเจี๋ยเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานที่แรงกล้ามาก ๆ เขามีร่างเทวไร้มลทินที่หาพบได้ยาก ความมุ่งมาดปรารถนาของเขาไม่ใช่แค่ฝึกถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า หรือฝึกตนจนบรรลุเป็นผู้สูงส่ง การเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างสวรรค์และจ้าววัฏสงสารคือความฝันอันป่าเถื่อนในชั่วชีวิตนี้ของเขาต่างหาก!

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงฝ่าฟันดูสักตั้งแล้วล่ะ”

หลัวซิวหัวเราะเบา ๆ อันที่จริงเขารู้สึกชื่นชมคนที่มีความทะเยอทะยานมาก ๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีจิตใจอันป่าเถื่อนอย่างสวีเซิ่งเจี๋ย และสภาพจิตใจเขาก็ไม่ค่อยเลวเช่นกัน ซึ่งไม่ทำให้เขารู้สึกรังเกียจ 

มิหนำซ้ำการที่มีคนเคียงข้างอยู่บนเส้นทางแห่งการแสวงหาจุดสูงสุดบนวิถียุทธ์ มันก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งมิใช่หรือ?

เขาในภพชาตินี้ ไม่อยากลิ้มลองความโดดเดี่ยวที่เดินอยู่บนวิถีธรรมอันยิ่งใหญ่คนเดียวอีกครั้งแล้ว 

หลัวซิวมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าโดยอ้างอิงจากเส้นทางที่อนุมานออกมาได้ สวีเซิ่งเจี๋ยเดินตามอยู่ด้านหลังเขาโดยที่ไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อทั้งสองยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้พระราชวังที่สูงตระหง่านนั่น จู่ ๆ ก็มีเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น!

“ตู้มม!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ