มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2753

“โครม!”

มือใหญ่ที่มีพลานุภาพไร้ขอบเขต กางฝ่ามือตบลงบนเตากลั่นนภาจื่อเซียว ทำให้เตาเทพเตานี้ถูกตบจนกระเด็นออกไป ยิงทะลวงอนัตตา แล้วหายไปจากขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปภายในพริบตา 

หลัวซิวกินยาเซียนที่ฟื้นฟูผลการฝึกตนลงไปหนึ่งเม็ด เขาไม่ได้ถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปในเตาเทพเลยแม้แต่น้อย จากพลังของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเทพระดับเก้า เขาไม่จำเป็นต้องหลบหนีเอง ก็จะถูกตบจนกระเด็นออกไปไกลตั้งเท่าไหร่ไม่รู้แล้ว 

เตากลั่นนภาจื่อเซียวคือภัณฑ์เซียนพรสวรรค์ระดับเก้า ซึ่งเทียบเท่ากับอาวุธจักรพรรดิชั้นฟ้า เกือบจะใกล้เคียงกับอาวุธเทพมหาศักดิ์แล้ว

แค่อาศัยความแข็งแกร่งของตัวเตาเทพ ก็จะไม่ได้รับความเสียหายจากพลังของมกุฎเทพระดับเก้า แต่ทว่าก็ยังมีพลังที่แข็งแกร่งเสี้ยวหนึ่งทะลุผ่านตัวเตาเทพส่งตรงเข้ามาอยู่ดี ทำให้หลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ยต่างกระอักเลือด สีหน้าขาวซีด

สวีเซิ่งเจี๋ยก็รีบหยิบยาเซียนออกมาหนึ่งเม็ดแล้วกลืนลงท้องเช่นกัน เนื่องจากอายุขัยไหลหายไปทำให้บุคลิกลักษณะเป็นชายวัยกลางคน ทว่าเขาก็ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพวัยรุ่นอย่างรวดเร็ว 

“สหายหลัว ของล้ำค่าของเจ้านี่มีไม่น้อยจริง ๆ”

หลังจากฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติ สวีเซิ่งเจี๋ยก็ทำใจให้สงบ สำรวจดูบริเวณรอบ ๆ ยิ่งอยู่ยิ่งค้นพบว่าเตาเทพเตานี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความลึกลับและมหัศจรรย์สุดล้ำลึก

ไม่ว่าจะเป็นศิลาเทวที่กดอัดมือใหญ่มกุฎเทพในก่อนหน้านี้ หรือเตาเทพเตานี้ ต่างไม่ใช่ดาบกระบี่ราชาเทพระดับเก้าของเขาสามารถเทียบเคียงได้

ไม่มีลาดเลาอื่น ๆ ส่งมาจากนอกเตาเทพอีก แต่สวีเซิ่งเจี๋ยและหลัวซิวกลับไม่ได้ออกไปอย่างบุ่มบ่าม มีแต่สวรรค์เท่านั้นแหละที่ทราบว่าบนแดนสุขาวดีนี้ยังมีภยันตรายอื่น ๆ รอตัวเองอยู่ด้านนอกหรือไม่ 

หลังจากผ่านไปหลายวัน ภาวะของทั้งสองก็ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติ อายุขัยที่ไหลหายไปในหุบเขากาลเวลาก็ฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมโดยการกลั่นแปรยาเซียน พลังเวทย์ผลการฝึกตนก็กลับมาถึงขีดสูงสุด บรรลุถึงสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุด 

เมื่อหลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ยออกมาจากเตาเทพ สิ่งที่ปรากฏในสายตากลับเป็นใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้ม

“เด็กผู้หญิงจากที่ใดเนี่ย? น้องหนู ที่นี่อันตรายมากเลยนะ พ่อแม่ของเจ้าล่ะ?”

สวีเซิ่งเจี๋ยเห็นเด็กผู้หญิงที่ลักษณะเหมือนเด็กอายุห้าหกขวบปรากฏตรงหน้า เขาสัมผัสออร่าอันตรายจากตัวเด็กผู้หญิงไม่ได้ ดังนั้นจึงเดินขึ้นไปถาม

ส่วนเสี้ยววินาทีที่หลัวซิวเห็นเด็กผู้หญิงคนนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที เนื่องจากเด็กผู้หญิงที่ปรากฏตรงหน้านี้ ก็คือเด็กผู้หญิงคนเดียวกันกับคนที่นอนอยู่ในโลงผลึกหินในวิมานเทวอัสนีชิงเสวียน

เขาอยากเอ่ยปากเตือนสวีเซิ่งเจี๋ย ทว่ากลับสายไปแล้ว ไม่เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นมีการเคลื่อนไหวอะไรเลย จู่ ๆ สวีเซิ่งเจี๋ยก็กรีดร้องเสียงดัง ร่างกายบินกระเด็นออกไป กลายเป็นจุดสีดำอยู่บนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว บินออกไปไกลหลายสิบไมล์

ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้ สายตาของเด็กผู้หญิงคนนั้นล้วนจับจ้องมาทางหลัวซิวโดยตลอด ราวกับสวีเซิ่งเจี๋ยที่มีร่างเทวไร้มลทินเป็นเพียงแมลงวันที่น่ารำคาญในสายตานาง

เด็กผู้หญิงย่างเท้าเดินตรงมา พลางมองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า จับคางเล็ก ๆ ของตัวเองพลางพูดอย่างรู้สึกสงสัย: “ศิลาเทวชิงเทียนก็อยู่ในมือเจ้าเช่นกัน แต่สิ่งที่เจ้าฝึกก็ไม่ใช่พลังแห่งชิงเทียนอีก ไยเจ้าจึงต้องรวบรวมภัณฑ์เซียนชิงเทียน?”

“อีกทั้งบนตัวเจ้ายังมีออร่าพลังเต๋าที่พิเศษมาก ๆ ไหลเวียนอยู่ด้วย แม้นจะอ่อนมาก ๆ ทว่ากลับมีศักยภาพที่น่าทึ่งแฝงซ่อนอยู่”

เด็กผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนไม่โต แต่คำพูดคำจากลับดูอาวุโสมาก เหมือนดั่งเฒ่าประหลาดที่คงอยู่มายาวนานอย่างไม่รู้จบ 

“ท่านผู้อาวุโสคือ?”หลัวซิวลองเอ่ยปากสอบถาม 

นึกไม่ถึงเลยว่าทันทีที่เขาเอ่ยปากถาม สีหน้าของเด็กผู้หญิงก็เปลี่ยนไปภายในพริบตา “ผู้ใดเป็นท่านผู้อาวุโสของเจ้า? แม่นางข้าดูแก่มากเลยรึ? เจ้าดูไม่ออกเลยหรือไงว่าปีนี้แม่นางข้าเพิ่งอายุ 60?”

น้ำเสียงของนางเปี่ยมล้นไปด้วยความอ่อนเยาว์ ทำให้หลัวซิวรู้สึกหมดคำจะพูดมาก ๆ

เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าจะตัดสินเด็กผู้หญิงคนนี้จากลักษณะภายนอกไม่ได้ เพราะภายในร่างกายนางมีพลังที่มากมายมหาศาลและน่าสยดสยองแฝงซ่อนอยู่ 

ฉะนั้นเมื่อเห็นว่าสีหน้านางเปลี่ยนไป หลัวซิวจึงทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้ถามต่อ แต่เป็นการพลิกมือหยิบหยกเทวชิงเทียนออกมาแล้วพูด: “ท่าน……แม่นางจักเอามันกลับไปหรือไม่?”

เศษหยกทั้งห้าชิ้นของหยกเทวชิงเทียนบูรณะตนเองตามธรรมชาติ แต่ยังไม่ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยสิ้นเชิง ยังคงสามารถมองเห็นร่องรอยบนหยกลาง ๆ 

“หยกเทวชิงเทียนประกอบกันสมบูรณ์แบบแล้ว หากข้าเอาเศษหยกไปหนึ้งชิ้น หยกเทวชิ้นนี้ก็จะไม่มีวันฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีก มิหนำซ้ำข้าก็ไม่ได้จะมาเอาของของเจ้าเช่นกัน แค่บังเอิญเจอเจ้าที่นี่เท่านั้นแหละ”เด็กผู้หญิงเบ้ปากพลางพูด

เมื่อได้ยินว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มาขอของจากตน หลัวซิวจึงรีบเก็บหยกเทวชิงเทียนแล้วพูด: “หากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”

ความหมายของหลัวซิวชัดเจนมาก ๆ แล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ได้มาเอาหยกเทวชิงเทียน เช่นนั้นข้าก็ไปได้แล้วสินะ? 

“ช้าก่อน”

เงาร่างของเด็กผู้หญิงกระพริบทีหนึ่ง แล้วมาขวางทางหลัวซิวเอาไว้ ใช้มือทั้งสองข้างเท้าเอว มีความโกรธปนอยู่บนริมฝีปากสีชมพูอ่อนเล็กน้อย “แม่นางข้าน่ากลัวมากเลยรึ? ถึงทำให้เจ้ารีบร้อนที่จะหลบหนีไป?”

“เปล่าขอรับ ข้าแค่มีเรื่องด่วนนิดหน่อยน่ะ”หลัวซิวอธิบาย 

“เจ้าจักมีเรื่องด่วนอะไรได้? เจ้าจะไปสำรวจส่วนที่ลึกที่สุดของที่นี่หรือ? ข้าจักบอกเจ้าก็ได้ ด้านในมีเพียงโลงศพหนึ่งใบ อีกทั้งยังเป็นโลงเปล่าด้วย”เด็กผู้หญิงตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ

“โลงเปล่า?”เมื่อได้ยินข่าวคราวนี้ สีหน้าของหลัวซิวก็ปรวนแปรไม่แน่นอน 

หากสถานที่แห่งนี้เป็นสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคที่สอง เหตุใดจึงมีโลงศพเปล่าหนึ่งใบ? และไม่นึกเลยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะทราบเรื่องนี้ด้วย หรือว่านางเคยไปส่วนที่ลึกที่สุดมาก่อน และยิ่งเปิดโลงศพเทวใบนั้นด้วย?

เพียงพริบตาเดียวเขาก็นึกเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมาได้เยอะมาก หากโลงศพเทวของที่นี่เป็นโลงเปล่า เช่นนั้นโลงศพเทวที่อยู่ภายในสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคแปด ก็เป็นโลงเปล่าเหมือนกันใช่หรือไม่?

“นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก เริ่มตั้งแต่จ้าววัฏสงสารยุคสองตลอดจนยุคเก้า หลังจากพวกเขาดับสลายสูญสิ้นแล้ว ล้วนจะกลายเป็นสิ่งบำรุงของจ้าววัฏสงสารรุ่นแรก”

เด็กผู้หญิงพูดอย่างเรียบนิ่ง “ผู้สืบทอดจ้าววัฏสงสารยุคเก้าได้บังเกิดขึ้นมาแล้ว แต่น่าเสียดายที่ศักยภาพในภพชาตินี้ของข้ายังไม่ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิม ปล่อยให้เจ้าหมอนั่นหนีรอดไปได้ มิเช่นนั้นขอแค่บีบมันให้ตาย เุคล็ดนพวัฏสงสารของยุคแรกก็อย่าคิดว่าจะบรรลุผลเลย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ