มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2764

แสงกระบี่ดวงนี้เปล่งแสงแพรวพรายดั่งเสา มีอำนาจสวรรค์แฝงซ่อนอยู่ และมีออร่าที่เฉียบคมมากจนไม่อาจต้านทานได้แผ่กระจายออกมา ราวกับเกราะป้องกันทั้งปวงที่อยู่ต่อหน้าแสงกระบี่ดวงนี้คือของไร้ประโยชน์ เปราะบางจนไม่อาจทนแรงกระทบ!

“พลังเทวเวหา!?”

หัวใจหลัวซิวสั่นไหวขึ้นมา เขาไม่ได้ไม่คุ้นเคยต่อพลังแห่งเวหา ครั้นเมื่ออยู่ในมหาโลกาพันสาม เขาก็เคยประสบพบเจอกับศิษย์ที่มาจากตำหนักเวหาเช่นกัน ซึ่งเขาก็ใช้วิถีไร้ลักษณ์บันทึกออร่าพลังเต๋าของพลังแห่งเวหาตอนนั้นนั่นแหละ ต่อมาถึงจะสามารถวิวัฒนาการปลดปล่อยพลังแห่งเวหาออกมาได้ 

“มึงก็มีความรู้อยู่บ้างนี่ ไม่นึกเลยว่าแค่อาศัยออร่าพลังเต๋า ก็มองออกแล้วว่าเป็นพลังเทวเวหา”

ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏบนยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างจากหลัวซิวไม่ไกล ในมือเขาถือกระบี่เทพเล่มหนึ่งที่มีแสงทองสว่างแพรวพราย ซึ่งมันก็คืออาวุธเลียนแบบกระบี่เทพเวหานั่นเอง 

แววตาที่ร้อนผ่าวของชายหนุ่มคนนั้นเขม็งมองมาทางหลัวซิว “มึงสามารถดูดกลืนพละกำลังของศัสตราวุธของขลังเพื่อชุบร่างเนื้อ ดูท่ามึงคงจะยึดกุมวิชากลั่นร่างที่ประณีตสวยวิจิตรอย่างยิ่ง ส่งวิชากลั่นร่างออกมา แล้วกูจะไว้ชีวิตมึง!”

“เตี๊ยง!”

เตากลั่นนภาจื่อเซียวปรากฏเหนือศีรษะ อัคคีเทพที่ปวงก็ลุกลามลงมาต้านทานปราณกระบี่เอาไว้ แม้นพลังเทวเวหาจะเฉียบคมมากจนไม่อาจต้านทาน แข็งแรงยากที่จะทลาย แต่ผลการฝึกตนของฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ได้แข็งแกร่งถึงขั้นนั้น จึงย่อมไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันของเตากลั่นนภาจื่อเซียวได้อยู่แล้ว

เตากลั่นนภาจื่อเซียวคืออาวุธเทพพรสวรรค์ระดับเก้า แทบจะใกล้เคียงกับระดับอาวุธเทพมหาศักดิ์ การที่จะอาศัยพลังเทวเวหาทำลายมันนั้น ถึงแม้หลัวซิวจะไม่สามารถกระตุ้นพลานุภาพของตาเซียนให้ถึงขีด อย่างน้อยก็จำเป็นต้องเป็นพลังเทวเวหาของเทพมารระดับเก้าถึงจะสามารถทลายได้ 

“ไสหัวไป!”

สำหรับอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักเวหาคนนี้ หลัวซิวแค่ตอบกลับเขาประโยคเดียวเท่านั้น 

“ช่างเป็นคนที่จองหองยิ่งนัก!”

สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นหม่นหมองลง สายตาเขม็งมองหลัวซิว ราวกับมองกราดมดตัวจ้อยตัวหนึ่งพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น: “ในเมื่อมึงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เช่นนั้นก็ไปตายซะเถอะ!”

กระบี่เทพที่อยู่ในมือเขาสั่นเทิ้ม ฟาดฟันปราณกระบี่เวหาออกมา ปราณกระบี่ทุกเล่มล้วนมีคุณสมบัติพิเศษที่เฉียบคมจนไม่อาจต้านทาน แข็งแรงจนไม่อาจมลายแฝงซ่อนอยู่ หลัวซิวใช้เตาเซียนต้านทานพลังโจมตีเหล่านี้เอาไว้ ผลการฝึกตนของตัวเขาเองก็สูญเสียไปไม่น้อยเช่นกัน

เมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีของปราณกระบี่เวหา ยิ่งป้องกันก็จะยิ่งเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ ซึ่งหลัวซิวเข้าใจหลักการนี้ดีมาก ๆ ดังนั้นเขาจึงรีบหยุดยั้งการกลั่นแปรเตาเทพที่สยบได้ในเมื่อครู่นี้อย่างเด็ดเดี่ยว เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง หายวับไปกับที่ 

“ตราสรรพสิทธิ์!”

ภายใต้การปลุกเสกจากปริภูมิและความเร็ว หลัวซิวปรากฏตรงหน้าชายหนุ่มคนนั้นโดยตรง วิชาตราประทับหนึ่งได้ผนึกรวมกันกลางฝ่ามือเขา สรรพวิชาบังเกิด ฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย

“นี่คือพลังอมตะอะไร?”

ชายหนุ่มก็รู้สึกตะลึงต่อพลังอมตะตราสรรพสิทธิ์ของหลัวซิวเช่นกัน ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของวังนภาหนึ่ง เขายังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าภายในพลังอมตะของคนคนหนึ่ง จะมีความล้ำลึกของธรรมทั้งปวงในฟ้าดินแฝงซ่อนอยู่

พลังอมตะวิชาหนึ่งก็ครอบจักรวาลแล้ว นี่คือสิ่งที่เทพมารระดับแปดคนหนึ่งสามารถทำได้หรือ? 

ทว่าเขาก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว ยิ้มเยาะพลางพูด “ต่อให้พลังอมตะของมึงจะประณีตสวยวิจิตรมากเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าปราณกระบี่เวหาของกู ก็ล้วนจะถูกมลาย!”

“ฟึ่บ!”

กระบี่เทพแทงทะลวงตราสรรพสิทธิ์ พลังอมตะทั้งหลายที่วิวัฒนาการออกมาจากตราสรรพสิทธิ์ก็พังทลายไปภายในพริบตา รอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าของชายหนุ่มก็ค่อย ๆ เข้มข้นขึ้น 

“อย่าเพิ่งได้ใจเร็วไปหน่อยเลย”

หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ถัดจากนั้นพลังอมตะที่ถูกปราณกระบี่เวหาทลายก็ค่อย ๆ ปรากฏอีกครั้ง เมื่อถูกทลายก็จะกลับมาผนึกรวมกันใหม่อีกครั้ง ดั่งการเวียนว่ายตายเกิด!

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปภายในพริบตา “ธาตุการเวียนว่ายตายเกิด หรือจะเป็นพลังเทวชิงเทียน?”

“ยินดีด้วย มึงตอบถูกแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีของรางวัล!”

เสี้ยววินาทีที่ชายหนุ่มสติหลุด หมัดข้างหนึ่งที่อยู่ในตราสรรพสิทธิ์ของหลัวซิวก็ทะลวงเกราะป้องกันทั้งปวง เสียงตู้มดังลั่นขึ้นมา ชกลงบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างรุนแรง

ร่างกายของชายหนุ่มหมุนกระเด็นออกไปปานลูกข่าง จิตสังหารที่อยู่ในดวงตาหลัวซิวเข้มข้น ฟาดฟันกระบี่ร่องฟ้าออกไปหนึ่งครั้ง เตรียมพร้อมที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามอยู่ ณ ที่แห่งนี้ 

“ฟึ่บ!”

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ชายหนุ่มได้หลบเลี่ยงอวัยวะส่วนสำคัญ แขนข้างหนึ่งถูกตัดและมีเลือดสาดกระเด็น 

“กูไม่จบกับมึงแน่!”

ชายหนุ่มทิ้งท้ายด้วยคำข่มขู่ที่ดุดัน ก่อนจะปลดปล่อยเคล็ดวิชาบางอย่างกะทันหัน ผันร่างเป็นแสงทองรุ้งยาวดวงหนึ่งภายในพริบตาแล้วบินหนีไป ซึ่งเร็วกว่าหลัวซิวที่ได้รับการปลุกเสกโดยเกณฑ์ปริภูมิและความเร็วเสียอีก 

หลัวซิวก็ไม่ได้ไล่ตามไปเช่นกัน อัจฉริยะที่กำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดในทำนองนี้ ส่วนมากล้วนมีอุบายที่ใช้ในการรักษาชีวิต นอกเสียจากเขาจัดวางมหาค่ายผนึกฟ้าดินไว้บริเวณสนามรบล่วงหน้า มิเช่นนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากคิดที่จะสังหารคู่ต่อสู้ 

เขาง้างมือขยำครั้งหนึ่ง กระบี่เทพสีทองเล่มหนึ่งก็ร่วงลงมาในมือเขา ซึ่งกระบี่เทพเล่มนี้ก็คือศัสตราวุธของชายหนุ่มคนเมื่อครู่นั่นเอง แขนข้างที่เขาถือกระบี่เทพถูกหลัวซิวตัดลงมา กระบี่เทพเล่มนี้จึงต้องเปลี่ยนเจ้าของอยู่แล้ว

แม้นหลัวซิวก็สามารถอาศัยวิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการพลังเทวเวหาออกมาได้เช่นกัน ทว่าพลังเทวเวหาที่เขาวิวัฒนาการออกมาคล้ายกับว่าเป็นของจริง แต่ก็ไม่ใช่ของจริง อย่างไรเสียพลังแห่งเวหาที่เขาเคยพบเห็นรู้จัก ก็จำกัดอยู่แค่ระดับเทพมารระดับห้า

แต่กระบี่เทพที่เขาได้รับ ณ วินาทีนี้ มีความล้ำลึกของพลังเทวเวหาที่มากกว่าแฝงซ่อนอยู่ ภายใต้การศึกษาและเรียนรู้ของหลัวซิว จึงตระหนักรู้ในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถ่องแท้ 

สำหรับการวิวัฒนาการของวิถีไร้ลักษณ์ หากต้องการวิวัฒนาการพลังบางอย่างออกมา ลำดับแรกคือเขาต้องยึดกุมความลึกลับและมหัศจรรย์ของพลังนั้นนั้นก่อน ยิ่งมีการตระหนักรู้มาก พลานุภาพที่วิวัฒนาการออกมาก็จะยิ่งมาก

เมื่อเปรียบเทียบกับสรรพวิชาที่วิวัฒนาการออกมาจากวิถีไร้ลักษณ์แล้ว หลัวซิวรู้สึกว่าสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในวิถีไร้ลักษณ์ของตนเอง ก็ยังเป็นมหาอิทธิฤทธิ์อย่างสรรพวิถีล้วนว้างอยู่เช่นเคย 

พลังอมตะนี้สามารถทลายสรรพวิชา และยิ่งสามารถทลายวิถีสวรรค์และวิถีวัฏสงสารด้วย อนาคตหากเขาก็สามารถฝึกถึงแดนประมุขเต๋า เช่นนั้นเมื่ออาศัยพลังอมตะนี้แล้ว ประมุขเต๋าสวรรค์และประมุขเต๋าวัฏสงสารไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน เนื่องจากพลังโจมตีและอุบายทั้งพวงของพวกเขา ล้วนจะถูกสรรพวิถีล้วนว้างปราบปราม 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ