มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2767

แรงสั่นสะเทือนก็เป็นอุบายประเภทหนึ่งที่ช่วยเพิ่มพลังโจมตีได้เช่นกัน หากพลังโจมตีที่ธรรมดามาก ๆ สั่นสะเทือนหลายครั้ง ทุกครั้งที่สั่นสะเทือนพลังโจมตีก็จะเพิ่มทวีคูณ หลังจากเพิ่มขึ้นถึงระดับที่แน่นอนแล้ว มันก็จะกลายเป็นพลังที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง

ซึ่งหวงทงเทียนก็คือผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญวิถีนี้อย่างไร้ข้อสงสัยเลย

“หมัดจ้านเทียน!”

ออร่ารอบกายหลัวซิวพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ปล่อยหมัดออกไปหนึ่งครั้ง วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการ พลังเวทย์ผลการฝึกตนที่แฝงซ่อนอยู่ในกำปั้นสั่นสะเทือนหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาก็ใช้อุบายวิถีสั่นสะเทือนเช่นกัน

อย่างไรก็ตามหมัดนี้กลับถูกหวงทงเทียนต้านทานเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะพูดอย่างเรียบนิ่ง: “การยึดกุมวิถีสั่นสะเทือนของเจ้ายังเทียบเคียงกับข้าไม่ได้ การที่เจ้าใช้อุบายประเภทนี้มาจัดการข้า มันไม่ต่างอะไรจากการใช้ไข่ปาหินเลย อีกทั้งพลังอมตะที่เจ้าใช้ไม่ใช่พลังของตัวเจ้าเอง ซึ่งไม่มีทางเอาชนะข้าได้”

“ใช่หรือ? ตราสรรพสิทธิ์!”

หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น ภายในวิชาตราประทับหนึ่งมีพลังอมตะแฝงซ่อนอยู่เป็นหมื่นวิชา เพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างกายของหวงทงเทียนก็จมหายไปในพลังอมตะโจมตีที่นับไม่ถ้วน

“โอ๊ะ? ในที่สุดก็ใช้พลังอมตะของตัวเจ้าเองแล้วหรือ?”

ดวงตาของหวงทงเทียนเป็นประกายขึ้นมา แสงทองที่แวววาวจับตาผนึกรวมกันอยู่กลางฝ่ามือทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะปล่อยวิชาตราประทับออกมาเช่นกัน ราวกับวิชาตราประทับนี้กลายเป็นหอกเทวเล่มหนึ่งที่แข็งแรงจนไม่อาจทลาย จะทำลายการขวางกั้นของพลังอมตะนับหมื่น

ตู้มม!

หอกเทวเฉียบคมอย่างยิ่ง ทะลวงพลังอมตะนับหมื่น แสงหอกดวงหนึ่งเหมือนดั่งสายฟ้า พุ่งตรงไปทางหว่างคิ้วหลัวซิวโดยตรง

“แม้นพลังอมตะที่เจ้าปลดปล่อยออกมาจะแข็งแกร่งมาก แต่กลับไม่ได้ประณีตสวยวิจิตรมากขนาดนั้น ในเมื่อพลังอมตะไม่ทรงพลังมากพอ ก็ไม่มีทางขัดขวางข้าได้”เสียงอันเย็นชาของหวงทงเทียนดังเข้าไปในหูหลัวซิว

“ท่านคิดว่าตราสรรพสิทธิ์ของข้าเรียบง่ายเช่นนี้หรือ?”

หลัวซิวสุขุมเรียบนิ่ง ร่างกายก็สูงตระหง่าน แข็งแรงไม่สั่นคลอน เพ่งมองแสงหอกที่ทิ่มแทงมาตรงหว่างคิ้วตน

“เวิ่ง!”

ทันใดนั้นเอง พลังอมตะนับหมื่นที่ถูกแสงหอกทะลวงก็ผนึกรวมกันอีกครั้ง ธาตุพลังเต๋าของพลังแห่งชิงเทียนที่ไม่ดับสูญหมุนเวียน

อีกทั้งไม่ได้มีเพียงพลังแห่งชิงเทียนเท่านั้น ยังมีพลังแห่งสิงเทียน พลังแห่งปรโลก พลังฉีกชั้นฟ้า พลังแห่งเวหาและพลังแห่งวัฏสงสาร สำหรับหลัวซิวในปัจจุบัน เขาสามารถใช้วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการวิถีสวรรค์และวิถีวัฏสงสารออกมาได้แล้ว

แม้นจะถูกผลการฝึกตนของตัวเองจำกัด พลังเทพสวรรค์และพลังเทพวัฏสงสารที่เขาวิวัฒนาการออกมาก็ไม่ใช่เล่น ๆ เช่นกัน

“ตู้มม!”

แสงหอกที่แข็งแรงจนไม่อาจทลายและไร้เทียมทานสลายหายไปแล้ว พลังอมตะนับหมื่นครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่แล้วม้วนซัดมา เงาร่างของหวงทงเทียนถูกโจมตีจนแตกสลาย พังทลายเป็นแสงฝนสีทอง

“โครมคราม……”

หลังจากหลัวซิวโค่นล้มหวงทงเทียนแล้ว ประตูหินที่อยู่ด้านหน้าก็เปิดออกเอง ราวกับกำลังต้อนรับให้เขามุ่งหน้าสู่ชั้นห้า

เมื่อย่างกรายสู่ชั้นห้า หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงธรรมเวชกาลร้างที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเขายังสัมผัสได้ด้วยว่าปฏิกิริยาระหว่างตัวเองและธรรมเวชกาลร้างแน่นแฟ้นมากขึ้น น่าจะเป็นเพราะเขาผ่านบททดสอบของชั้นสี่ และได้รับการยอมรับขั้นต้นจากอัญสมบัติเลิศล้ำอย่างหอคอยฮวง

เมื่อได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวง ธรรมเวชกาลร้างที่แฝงซ่อนอยู่ในหอคอยฮวงย่อมต้องใกล้ชิดกับเขามากกว่าเดิมอยู่แล้ว ทำให้เขาตระหนักรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น

เขาใช้เวลาตระหนักธรรมเวชกาลร้างในชั้นสี่นานหนึ่งแสนห้าหมื่นปี สำหรับชั้นห้านั้น แม้นหลัวซิวจักมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม แต่อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจเช่นกันว่าตนจะสำเร็จหรือไม่

ความมั่นใจคือความมั่นใจ แต่ก็ต้องรู้จักตนเองดีเช่นกันว่าตนเป็นเช่นไร

ธรรมเวชกาลร้างของชั้นห้ายิ่งลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ หลัวซิวตระหนักรู้อยู่ที่นี่นานสองหมื่นปี แต่กลับตระหนักความล้ำลึกในธรรมเวชกาลร้างของชั้นห้าได้ไม่ถึงสองส่วน

“ลึกซึ้งเกินไปแล้ว ยากเกินไปแล้ว……”

ท้ายที่สุดหลัวซิวก็ต้องถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แม้นจะฝืนตระหนักรู้ต่อไป หากต้องการตระหนักรู้ธรรมเวชกาลร้างของชั้นห้าให้ได้โดยสิ้นเชิง เกรงว่าคงต้องใช้เวลาเป็นล้านปีเลย

“หากข้าตระหนักรู้ด้วยแดนเทพมารระดับเก้า มันต้องไม่มีทางยากเย็นเช่นนี้แน่นอน แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วผลการฝึกตนของข้าก็ต่ำเกินไปอยู่ดี”

หลัวซิวถอนหายใจพลางส่ายหน้า สำหรับผู้แข็งแกร่งที่เป็นเทพมารระดับเก้าเป็นต้นไปแล้ว หอคอยฮวงก็เหมือนกับเขตต้องห้าม แรงกดดันตรงทางเข้าของหอคอยฮวงจะอ้างอิงตามผลการฝึกตนของตัวจอมยุทธ์ ในโลกหล้านี้ ตั้งแต่โบราณกาลมา ยังไม่มีผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าเป็นต้นไปคนใดสามารถใช้อำนาจฝืนบุกเข้ามาในหอคอยฮวงได้

“เจ้าของหอคอยฮวงแต่ละยุคในอดีต พวกเขาฝ่าฟันขึ้นไปยังชั้นที่สูงกว่าของหอคอยฮวงอย่างไรกันนะ?”

หลัวซิวขมวดคิ้วลง ความล้ำลึกของธรรมในชั้นห้าถือเป็นขีดจำกัดสำหรับเทพมารระดับแปดแล้ว เขาที่มีวิถีไร้ลักษณ์ยังเป็นเช่นนี้เลย หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ต่อให้มีความสามารถในการตระหนักรู้ที่แหกกฎสวรรค์มากเพียงใด ก็ไม่มีทางดีเลิศไปกว่าเขาแน่นอน

หลัวซิวมั่นใจความสามารถในการตระหนักรู้และศักยภาพในการอนุมานของตัวเองมาก ๆ ซึ่งเขาไม่ได้ถือดีและโอหัง

ณ ชั้นห้า หลัวซิวล้มเลิกการตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลร้างต่อตั้งนานแล้ว เนื่องจากเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าต่อให้เวลาในหอคอยฮวงจะแตกต่างจากโลกาภายนอก หากเขาใช้เวลานับล้านปีอยู่กับชั้นห้าของหอคอยฮวง เช่นนั้นมันต้องเป็นการซื้อขายที่ไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน

มิหนำซ้ำเขาได้ทำการคาดคะเนในใจ ธรรมเวชกาลร้างที่แฝงซ่อนอยู่ในชั้นห้าของหอคอยฮวงอยู่เหนือขีดจำกัดของแดน ณ ปัจจุบันของเขาแล้ว อย่าว่าแต่เวลาล้านปีเลย ต่อให้ใช้เวลาเป็นสิบล้านปี เขาก็ไม่สามารถตระหนักรู้ได้โดยสิ้นเชิง

ทว่าในระยะเวลาที่เท่ากัน เขากลับสามารถหลอมรวมประสานธรรมเวชกาลร้างที่ตระหนักรู้ได้ในก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน ทำให้วิชากลั่นร่างล้ำลึกและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น!

หลังจากผ่านไปหนึ่งแสนปี หลัวซิวไม่แก่ลงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นเพราะเขาอยู่ในหอคอยฮวง

ธรรมเวชกาลร้างถูกเขาผสมเชื่อมประสานเข้าด้วยกัน หลอมรวมเข้าไปในวิชากลั่นร่าง ทำให้ร่างเนื้อที่บรรลุถึงร่างราชาเทพระดับเก้าในตอนแรกของเขา บรรลุถึงร่างราชาเทพระดับเก้าช่วงปลาย!

เมื่อร่างเนื้อบรรลุถึงแดนระดับนี้ นอกซะจากว่าประสบพบเจอกับการโจมตีจากภัณฑ์มกุฎเทพระดับเก้า มิเช่นนั้นเขาก็แทบจะเป็นอมตะเลย หากผลการฝึกตนของเขาแข็งแกร่งมากพอละก็ เขายิ่งสามารถอาศัยแรงฮึดแรงโจมตีของร่างเนื้อ ทำให้ภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าแตกสลายได้!

อย่างไรก็ตามธรรมเวชกาลร้างของหอคอยฮวงเป็นธรรมสูงสุดของการกลั่นร่างชุบร่างเนื้อ เมื่ออยู่ในนี้เขาสามารถทำให้ร่างเนื้อของตัวเองได้รับการยกระดับ แต่กลับไม่สามารถยกระดับผลการฝึกตนพลังเวทย์ของตัวเอง

แต่ว่าหลังจากผสมผสานธรรมเวชกาลร้างที่ตระหนักรู้ได้ในก่อนหน้านี้เข้าด้วยกันแล้ว การตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลร้างของหลัวซิวก็พัฒนาขึ้นเยอะมาก เมื่อไปตระหนักรู้ความลึกลับและมหัศจรรย์ในชั้นห้าอีกครั้ง ทำให้หลัวซิวลงแรงน้อยแล้วได้ผลมาก

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เขายังริเริ่มพลังอมตะได้อีกหนึ่งวิชา และเขาเรียกพลังอมตะนี้ว่าตราต้าฮวง! ซึ่งเป็นอิทธิฤทธิ์สูงสุดที่ใช้ควบคู่กับร่างเนื้ออันเกะกะระรานของเขาโดยเฉพาะ!

วันนี้ จู่ ๆ หลัวซิวก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ก่อนจะมองไปทางด้านหลัง เห็นเพียงมีประตูหินบานหนึ่งปรากฏในตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากด้านหลังเขา ถัดจากนั้นก็มีเงาร่างที่ดูมีพลังร่างหนึ่งเดินออกมา

“หงบู!”

หัวใจหลัวซิวสั่นไหวเล็กน้อย เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะเจอหงบูที่นี่ ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจเช่นกันว่าเริ่มตั้งแต่ชั้นสองถึงชั้นสี่ ทุกคนล้วนตระหนักรู้เงาสะท้อนหอคอยฮวงอยู่ในพื้นที่ที่แตกต่างกัน และหลังจากมาถึงชั้นห้าแล้ว ทุกคนก็จะอยู่ในพื้นที่ปริภูมิเดียวกัน แล้วต่างแข่งขันกันและกัน

หากบอกว่าการฝึกฝนในหอคอยฮวงเป็นการคัดเลือกเจ้าของหอคอยฮวงในอนาคต เช่นนั้นชั้นที่ห้าก็เป็นสถานที่ทดสอบเหล่าอัจฉริยะแล้วล่ะ ดูว่าผู้ใดจักตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลร้างได้มากกว่า ตระหนักรู้ได้ทะลุปรุโปร่งมากกว่า ศักยภาพของผู้ใดแข็งแกร่งมากกว่า!

เมื่อหลัวซิวเห็นหงบู หงบูก็ย่อมเห็นเขาเช่นกัน

“หลัวซิว!”

รูม่านตาของหงบูหดลงกะทันหัน “เดิมทีข้าคิดว่าตัวเองเป็นคนแรกที่มาถึงชั้นห้าของหอคอยฮวง ไม่นึกเลยว่าสหายหลัวจักมาถึงก่อนข้าเสียอีก ช่างน่าเลื่อมใสเสียจริง!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ