มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2773

“กองกำลังของเราขาดเพียงคนเดียวเท่านั้น”

เมื่อหลัวซิวและฮู๋ชิงชิงเดินตรงไป ชายหนุ่มที่ชูป้ายก็ขมวดคิ้วพลางพูด

“เหวินเฉิง สองคนก็ได้นะ ข้าว่าผลการฝึกตนของสหายทั้งสองคนนี้ก็ไม่อ่อนเช่นกัน”

ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ดูค่อนข้างสุขุมเอ่ยปากพูดกะทันหัน เมื่อชายหนุ่มที่ชูป้ายได้ยินเขาพูดเช่นนี้ จึงไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก 

ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่าชายที่ดูสุขุมมากประสบการณ์นั่น น่าจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้แล้ว 

“ขอต้อนรับทั้งสองท่านเข้าร่วมกองกำลังของเรา ขอแนะนำตัวก่อน ข้าชื่อจิ่งเฉิน ทั้งสามคนนี้คือเหวินเฉิง สีเสว่เสวียนและหนิงหานหลิง”

ในบรรดาพวกเขาทั้งสี่คนนี้ หนิงหานหลิงเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดอย่างไร้ข้อกังขาเลย โดยเฉพาะเนื่องจากนางบาดเจ็บ บนใบหน้าก็ดูป่วยจนขาวซีดเล็กน้อย ยิ่งทำให้คนเกิดความรู้สึกสงสารอย่างอดไม่ได้ 

ในส่วนของสตรีอีกนางหนึ่งที่มีนามว่าสีเสว่เสวียนหน้าตาก็ดูค่อนข้างธรรมดาทั่วไปเลย

“ข้ามีนามว่าซิวหลัว ส่วนท่านนี้คือสหายข้า ชิงชิง”หลัวซิวพูดอย่างเรียบนิ่ง

วินาทีนี้ผลการฝึกตนของเขาและฮู๋ชิงชิงต่างอำพรางอยู่ที่แดนเทพมารระดับเจ็ด โดยส่วนใหญ่แล้ว จอมยุทธ์เทพมารระดับเจ็ดจะไม่ออกไปฝึกฝนตามหาสมบัติพร้อมกับจอมยุทธ์เทพมารระดับแปด เพราะอัตราความอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายในมันสูงเกินไป 

อีกอย่างโดยทั่วไปแล้วกองกำลังที่มีสมาชิกห้าคน เป็นขบวนที่พอเหมาะพอควรพอดี หากมีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนหนึ่ง สมบัติที่ทุกคนจะได้รับก็จะลดลงไปเยอะมากด้วย

อ้างอิงจากเค้าลางต่าง ๆ หลัวซิวพอจะสามารถคาดคะเนได้อยู่ว่า สาเหตุที่จิ่งเฉินนี่ตกลงให้พวกเขาทั้งสองเข้าร่วมกองกำลังนั้น ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ประสงค์ดีอะไร

ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้นำมาใส่ใจ จอมยุทธ์เทพมารระดับแปดสามคน ผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงสุดก็คือจิ่งเฉินนั่น ซึ่งเป็นเทพมารระดับแปดช่วงปลาย ในสายตาเขา ศักยภาพแค่นี้สร้างภัยคุกคามอะไรให้เขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ 

ดูเหมือนหนิงหานหลิงจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเก็บไว้ในใจ สำหรับเรื่องที่สมาชิกใหม่ทั้งสองคนเข้าร่วมกองกำลังนั้น นางก็แค่พยักหน้าอย่างเรียบนิ่งมาก ๆ ก็ถือเป็นการทักทายแล้ว

“ในเมื่อคนในกองกำลังครบแล้ว เช่นนั้นบัดนี้เราก็ออกเดินทางกันเถอะ ทุกท่านยังมีอะไรที่ต้องเตรียมการอีกหรือไม่?”จิ่งเฉินเอ่ยปากถาม เห็นได้ชัดเจนเลยว่าในฐานะที่เป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงที่สุด เขาจึงกลายเป็นหัวหน้ากองกำลังเล็ก ๆ นี้ไปโดยปริยายแล้ว 

เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดตอบกลับ จิ่งเฉินจึงยิ้มแล้วโบกมือทีหนึ่ง “ในเมื่อทุกคนไม่มีความเห็นใด ๆ เช่นนั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ จุดมุ่งหมายหุบเขาหมัวหลัว!”

หุบเขาหมัวหลัวไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเมืองทรายดูดมากเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องอาศัยอุบายวาร์ปใด ๆ ไม่จำเป็นต้องนั่งเรืออนัตตาโดยเฉพาะด้วย

แม้นในเมืองทรายดูดก็มีเรืออนัตตาที่มุ่งไปสู่หุบเขาหมัวหลัวเช่นกัน แต่พวกจิ่งเฉินทั้งสามคนค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานภาพของกองกำลังทั้งหลายที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกับเมืองทรายดูด หากบินไปด้วยแสงกลละก็ จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการนั่งเรืออนัตตา อีกทั้งเมื่อออกปฏิบัติการก็จะค่อนข้างสะดวกและเป็นอิสระกว่าการนั่งเรืออนัตตาด้วย

แสงกลทั้งหกดวงบินออกไปจากเมืองทรายดูด ก่อนหลัวซิวจะถามอย่างเรื่อยเปื่อยมาก  ๆ ว่า: “ไม่ทราบว่าทุกท่านวางแผนไปตามหาหินตรีภพในหุบเขาหมัวหลัวเพื่อเอามาทำอะไรหรือ?”

หลัวซิวย่อมต้องทราบประสิทธิผลของหินตรีภพดีมาก ๆ อยู่แล้ว สาเหตุที่เขาถามเช่นนี้นั้น หลัก ๆ ก็เป็นเพราะอยากรู้ว่าเหตุใดหนิงหานหลิงจึงต้องไปหุบเขาหมัวหลัว

จะว่าไปเขาก็ค่อนข้างมีบุพเพสันนิวาสต่อหนิงหานหลิงเช่นกัน ครั้นเมื่อเจอกันในมหาโลกายอดอัมพรครั้งแรก ดูเหมือนนางก็เป็นเพราะได้รับบาดเจ็บจนผลการฝึกตนร่วงหล่นนี่แหละ จึงส่งผลให้ไม่สามารถย้อนกลับไปยังโลกเสวียนตลอดมา และเขาก็เป็นผู้ที่ช่วยนางฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บ

ปัจจุบันนี่เป็นครั้งที่สามที่พวกเขาเจอหน้ากันแล้ว และสตรีนางนี้ก็ได้รับบาดเจ็บอีกเช่นเคย ดูเหมือนสภาพอาการบาดเจ็บจะสาหัสกว่าครั้งก่อนด้วย

สภาพอาการบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้แต่กลับไม่หาสถานที่ฟื้นฟูบาดแผลดี ๆ ดันลองเสี่ยงภัยมุ่งหน้าไปหุบเขาหมัวหลัวพร้อมกับเหล่าเทพมารระดับแปด ภายในเรื่องนี้ต้องมีสาเหตุอื่น ๆ แน่นอน  

“หินตรีภพสามารถนำมาฝึกตน สำหรับจอมยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับขั้นอย่างเราแล้ว ประสิทธิผลของมันดีกว่ากรองแก้วมรกตเสียอีก แค่ด้อยกว่ากรองแก้วม่วงเล็กน้อยเท่านั้น”

ในฐานะที่เป็นหัวหน้ากองกำลัง จิ่งเฉินยิ้มพลางตอบกลับ “นอกเหนือจากนี้แล้วยังสามารถนำหินตรีภพมากลั่นสมบัติ และสามารถนำมาชุบร่างได้ด้วย หากได้รับดอกผลที่ค่อนข้างมากละก็ จักเอามันไปขายเป็นกรองแก้วมรกตและกรองแก้วม่วงก็เป็นรายรับที่น่าดูมากเช่นกัน”

สีเสว่เสวียนเห็นด้วยกับคำพูดของจิ่งเฉินโดยสิ้นเชิงเลย ทว่าหนิงหานหลิงกลับไม่พูดอะไรสักคำ อยู่ในสภาวะนิ่งเงียบมาโดยตลอด 

ระดับความเร็วในการโบยบินของแสงกลทั้งหกไม่ช้า หลัวซิวถามคำถามหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหนิงหานหลิงไม่ได้ตอบกลับอะไร จึงไม่ได้ถามอะไรอีก รอหลังจากที่ไปถึงหุบเขาหมัวหลัวแล้ว ก็จะทราบเรื่องทุกอย่างเอง 

และในระหว่างทางที่บินไปยังหุบเขาหมัวหลัว จิ่งเฉิน เหวินเฉิงและสีเสว่เสวียนทั้งสามคนต่างใช้ตัวสำนึกสื่อสารซึ่งกันและกันมาโดยตลอด พวกเขาคิดเองเออเองว่าการกระทำของตัวเองมิดชิดแนบเนียนมาก ๆ ทว่ากลับหนีหลัวซิวกระแสสัมผัสของหลัวซิวไม่พ้นเลยด้วยซ้ำ 

“ทั้งสามคนนี้ก็มีพิรุธเช่นกัน”แม้นหลัวซิวจักสัมผัสคลื่นตัวสำนึกของพวกเขาได้ แต่กลับไม่สามารถทราบรายละเอียดเนื้อหาที่พวกเขาคุยกันผ่านตัวสำนึกส่งเสียง

“ช่วงนี้มีชี่อลวนปรากฏในหุบเขาหมัวหลัว อีกทั้งชี่อลวนได้ตลบฟุ้งไปทั่วหุบเขาหมัวหลัวภายในระยะเวลาไม่ถึงห้าปี ด้วยเหตุนี้จึงมีหินตรีภพปรากฏเป็นจำนวนมาก ทว่าการที่อยากครอบครองหินตรีภพนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน”

“ส่วนรายละเอียดวิธีการที่จะได้ครอบครองหินตรีภพนั้น นอกจากเฮียจิ่งเฉินแล้ว ผู้ที่ทราบเรื่องนี้มีไม่มากนัก ทั้งสามคนนี้กล้าร่วมขบวนกับเรา แสดงว่าต้องไม่ทราบความลับที่ซ่อนอยู่ภายในแน่นอน”

“แหะ ๆ มีแท่นบูชาตรีภพปรากฏในหุบเขาหมัวหลัวเยอะมาก ๆ เมื่อของเซ่นไหว้ที่ใช้สำหรับบูชายันต์ยิ่งเยอะ ก็จะได้รับหินตรีภพยิ่งมาก ช่วงนี้เราบูชายันต์ไปหกคนแล้ว หลังจากเสร็จภารกิจในครั้งนี้ จำนวนคนที่ทราบเรื่องนี้ก็จะยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ อนาคตคงเริ่มทำไม่ค่อยรุ่งแล้วล่ะ”

“ค่ายกล?”หลัวซิวเพ่งตามองไป เขาก็เป็นยอดฝีมือวิถีค่ายเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงอ่อนไหวต่อค่ายกลมาก เสี้ยววินาทีที่เห็นสัญลักษณ์เหล่านั้น เขาก็รู้แล้วว่าภายในสัญลักษณ์เหล่านี้มีค่ายกลของพลังตรีภพแฝงซ่อนอยู่ 

“นี่คืออะไรหรือ? ที่นี่มีหินตรีภพหรือ?”จู่ ๆ หนิงหานหลิงก็ขมวดคิ้วลงพลางถาม เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางก็สัมผัสลับลมคมในในเรื่องนี้ได้แล้ว

“เหอะ ๆ ที่นี่ต้องมีหินตรีภพอยู่แล้ว แต่ทว่า……”มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าจิ่งเฉิน ทว่าเขายังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเสียงเสียงหนึ่งตัดบทพูดกะทันหัน 

“แต่ว่าต้องใช้วิญญาณและเลือดมาบูชาค่าย ถึงจะได้รับหินตรีภพ!”

เสียงดังกล่าวดังมาจากด้านหลัง เสี้ยววินาทีที่ได้ยินเสียงดังกล่าว สีหน้าของจิ่งเฉินก็เปลี่ยนไปภายในพริบตาอย่างควบคุมไม่ได้

ทุกคนมองไปทางต้นตอของเสียง ก่อนจะเห็นเงาสามร่างเดินออกมาจากด้านหลังของพวกหลัวซิว ซึ่งเจ้าของเสียงในเมื่อครู่นี้ คือชายทที่หุ่นร่างกำยำคนหนึ่ง 

“หรงเซียน! เจ้าเองหรือ?”

ดูเหมือนจิ่งเฉินจะรู้จักฝ่ายตรงข้าม สีหน้าอารมณ์ดูระแวดระวัง น่าจะไม่ใช่มิตรสหาย แต่อยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นศัตรูต่อกัน 

“ฮ่าฮ่า! จากกันแล้วก็ย่อมมีวันได้กลับมาเจอกันอีกจริง ๆ จิ่งเฉิน! วันนี้มึงตกอยู่ในเงื้อมมือกู หากใช้ผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดช่วงปลายของมึงมาบูชาค่าย ต้องได้รับหินตรีภพที่มากกว่าแน่นอน!”

ชายร่างกำยำผู้มีนามว่าหรงเซียนแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะดังลั่น จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม ราวกับความเป็นความตายของพวกจิ่งเฉินล้วนอยู่ในกำมือเขายังไงอย่างนั้น 

“หรงเซียน มึงคิดว่ามึงเป็นคู่ต่อสู้ของกูหรือ?”จิ่งเฉินถามอย่างโกรธเกรี้ยว

“บางทีกูอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมึง ทว่าอาจารย์อาทั้งสองท่านของกูกลับแตกต่างกัน!”หรงเซียนแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น ก้าวถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว กลับไปยืนเรียงกับชายวัยกำลังคนสองคนที่อยู่ด้านหลัง 

ชายวัยกลางคนทั้งสองคนนั้นต่างอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำ คนหนึ่งผอมบาง อีกคนหนึ่งเตี้ยเล็ก ต่างมองมาทางพวกจิ่งเฉินด้วยสายตาที่เย็นชา 

“ตู้มม!”

มีแรงกดอัดที่มากล้นแผ่กระจายออกมาจากตัวสองคนนั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าพวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าสองคน อีกทั้งยังไม่ใช่เทพมารระดับเก้าทั่วไปด้วย แต่เป็นเทพมารระดับเก้าช่วงกลาง!

เสี้ยววินาทีที่แรงกดอัดนั่นจุติลงมา สีหน้าของจิ่งเฉินทั้งสามคนก็ขาวซีดลงไปทันที เพราะจากผลการฝึกตนของพวกเขา เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้า พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากมดตัวจ้อยเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ