มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2784

หลัวซิวเข้าไปในสนามรบได้ไม่นานเท่าไหร่นัก เทพมารระดับแปดในแดนเทวบรรพอัคคีก็ไม่กล้าลงมือต่อเขาอีกแล้ว 

คู่ต่อสู้ที่เป็นเทพมารระดับแปดทั้งปวง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในขั้นปฐมภูมิหรือช่วงปลาย ตลอดจนขั้นสูง เมื่อเข้ามาหนึ่งก็จะถูกตบตายหนึ่ง เข้าสองตายสอง

ทุกครั้งที่สังหารคู่ต่อสู้หนึ่งคน ป้ายบัญชาการภารกิจก็จะสว่างหนึ่งครั้ง บันทึกผลการฝึกตนของคู่ต่อสู้ที่ถูกสังหาร ซึ่งนี่จะกลายเป็นหลักฐานในการแลกเปลี่ยนของรางวัลหลังจากหลัวซิวย้อนกลับไปยังตำหนักกิ่งโยงพลัง

มาตรแม้นว่าสามารถสังหารเทพมารระดับเก้าได้เช่นกัน แต่หลัวซิวกลับไม่อยากทำให้ตัวเองดูโดดเด่นมากเกินไปเมื่ออยู่ที่นี่ เพราะถ้าเกิดถูกผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าในแดนเทวบรรพอัคคีหมายตาเข้า มันก็จะเป็นปัญหาที่วุ่นวายมาก 

สงครามไม่ได้ปะทุออกเป็นวงกว้างแต่อย่างใด ทว่าการปะทะกันในขอบข่ายเล็ก ๆ กลับไม่เคยหยุดลงเลย 

พื้นที่ภายในแดนเทวบรรพอัคคีกว้างขวางอย่างยิ่ง เหนือนภาแท่นบูชาฐานค่ายแท่นหนึ่ง มีเงาดำสามร่างกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งแพร่กระจายออกมาจากตัวสามคนดังกล่าว หนึ่งในนั้นมีอัคคีเทพลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบ ๆ บนตัวตลบฟุ้งไปด้วยพลังออร่าที่เก่าแก่ ซึ่งเขาก็คือผู้แข็งแกร่งจิตเศษที่มกุฎศักดิ์สิทธิ์บรรพอัคคีอัญเชิญฟื้นคืนชีพกลับคืนมานั่นเอง 

ในส่วนของคู่ต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งโบราณคนนั้น กลับเป็นเทพมารระดับเก้าที่กำเนิดจากวังชิงเทียน ทั้งสองต่างอยู่ในแดนเทพมารระดับเก้าขั้นสูง กำลังรบน่าทึ่ง

เทพมารระดับเก้าและราชาเทพระดับเก้าแตกต่างกันเยอะมาก แต่สองคนนี้ร่วมมือกันกลับสามารถต่อกรกับผู้แข็งแกร่งโบราณราชาเทพระดับเก้าคนหนึ่งได้ สิ่งที่พวกเขาพึ่งพาต้องเป็นคุณสมบัติพิเศษที่เวียนว่ายตายเกิดของพลังแห่งชิงเทียนอยู่แล้ว

“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”

แรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากการพุ่งชนสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน อนัตตาพังทลายแตกสลายอย่างต่อเนื่อง ส่วนบริเวณรอบแท่นบูชาฐานค่ายนั้น คือจอมยุทธ์แห่งแดนเทวบรรพอัคคีนับหมื่นคน เนื่องจากมกุฎศักดิ์สิทธิ์บรรพอัคคีสัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงดึงดูดใจให้แก่จอมยุทธ์ธาตุไฟ ดังนั้นจึงมีจอมยุทธ์ธาตุไฟที่นับไม่ถ้วนล้วนขอพึ่งฝั่งแดนเทวบรรพอัคคี

จอมยุทธ์เหล่านี้ได้ทำการจัดวางค่ายกลไว้รอบแท่นบูชาฐานค่าย ผนึกอนัตตา คุ้มกันรักษาแท่นบูชาฐานค่าย เพื่อป้องกันไม่ให้แท่นบูชาได้รับผลกระทบจากผู้แข็งแกร่งทั้งสามคนที่ประมือกันเหนือนภา 

เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสถานการณ์ประเภทนี้ส่งผลเสียต่อผู้แข็งแกร่งทั้งสองจากวังชิงเทียน ทว่าพวกเขาทั้งสองกลับไม่มีความคิดที่จะถดถอยเลยแม้แต่น้อย พลังอมตะต่าง ๆ ที่งดงามสวยวิจิตรถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็กลายเป็นศิลาเทวสยบ ไฟเทวปราบปรามและหยกเทวป้องกัน

สิ่งที่พวกเขาฝึกล้วนเป็นวรยุทธ์และพลังอมตะระดับประมุขเต๋า ถึงแม้ผลการฝึกตนจะเป็นเทพมารระดับเก้าขั้นสูง ทว่ากำลังรบที่แท้จริงกลับไม่ด้อยกว่าราชาเทพระดับเก้าทั่วไป ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเหล่าเทพมารระดับเก้าที่หลัวซิวเคยพบเห็นรู้จักเยอะมาก ๆ

สิ่งที่ธาตุพลังเต๋าการเวียนว่ายตายเกิดของวิถีชิงเทียนไม่เกรงกลัวมากที่สุดก็คือการต่อสู้ระยะยาว ภายใต้ศึกสงครามที่ยิ่งใหญ่ดำเนินการต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้ผู้แข็งแกร่งคนนั้นจากแดนเทวบรรพอัคคีคำรามโกรธเปรี้ยวอย่างต่อเนื่อง เริ่มรู้สึกลุกลน

การต่อสู้ในทำนองนี้ได้เกิดขึ้นในทั่วทุกแห่งหนบนแดนเทวบรรพอัคคี ทั้งแดนเทวบรรพอัคคีมีแท่นบูชาฐานค่ายทั้งหมด 99 แท่น หลังจากระยะเวลาผ่านพ้นไปไม่ถึงห้าวัน แท่นบูชาก็ถูกทำลายล้างไปหลายแท่นแล้ว 

“โอกาสดี!”

ผู้แข็งแกร่งที่คุ้มกันแท่นบูชาฐานค่ายถูกผู้แข็งแกร่งทั้งสองจากวังชิงเทียนถ่วงเวลาไว้ เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว หลัวซิวจึงพุ่งตรงไปทางแท่นบูชาฐานค่ายโดยตรง 

บริเวณรอบแท่นบูชาฐานค่ายก็มีจอมยุทธ์คอยคุ้มกันอยู่นับหมื่นคนเช่นกัน ซึ่งในบรรดาจอมยุทธทั้งหมดนี้ก็ไม่ขาดแคลนเทพมารระดับเก้าด้วย เมื่อเห็นว่ามีคนพุ่งสังหารเข้ามา คนเหล่านั้นจึงพากันคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ผลการฝึกตนแย้มบาน

“เวิ่งง!”

ยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์ลอยวนเวียนอยู่รอบกาย เตากลั่นนภาจื่อเซียวปรากฏเหนือศีรษะ หลัวซิวที่ถือกระบี่ร่องฟ้าพุ่งเข้าไปในหมู่คนภายในพริบตา เห็นเพียงทุกตำแหน่งที่เขาเคลื่อนผ่าน คู่ต่อสู้ที่นับไม่ถ้วนก็ถูกสังหารปานเก็บเกี่ยวฟางข้าว มีพลังออร่าระเบิดออกมาจากตัวเขากะทันหัน ทำให้จอมยุทธ์ที่พุ่งตรงเข้ามาถูกม้วนซัดออกไป อำนาจและอภิสิทธิ์น่าทึ่ง

เทพมารระดับเก้าจำนวนมากก็ต่างพากันพุ่งตรงเข้าไปเช่นกัน ผู้ที่สามารถฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับเก้าได้นั้น ไม่มีคนใดเป็นผู้อ่อนแอ แต่กลับไม่มีคนใดสามารถประชิดตัวหลัวซิวได้เลย มีรัศมีเทวที่แวววาวจับตาแย้มบานออกมาจากตัวเขา ราวกับกลายเป็นร่างเทวไร้มลทิน สรรพวิชาทำอะไรเขาไม่ได้ 

“ทะยานเซียน!”

ราวกับทั้งฟ้าดินเหลือเพียงแสงกระบี่ดวงเดียว เหมือนดั่งแสงเซียนที่บินมาจากนอกโลก กระพริบหายไปทันที 

“โครมคราม!”

จากการที่มีเสียงสนั่นดังลั่นขึ้น แท่นบูชาฐานค่ายก็ถูกแสงกระบี่ผ่าออก แท่นบูชาที่สูงปานภูเขาลูกใหญ่ก็เริ่มพังทลาย จนทำให้ฝุ่นตลบฟุ้งไปทั่วท้องฟ้า 

“ไอ้ชาติชั่ว!”

ราชาเทพระดับเก้าที่มีหน้าที่เฝ้าดูแลแท่นบูชาฐานค่ายดังกล่าวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ โบกมือปลดปล่อยพลังอมตะจนทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนจากวังชิงเทียนถูกบีบจนต้องถอยหลังกลับ ตะคอกยังโกรธเกรี้ยวทีหนึ่ง ก่อนจะพุ่งเข้าไปสังหารหลัวซิว 

“ตู้มม!”

หลัวซิวโบกมือปล่อยหมัดต้านทานกับราชาเทพระดับเก้าแห่งแดนเทวบรรพอัคคีคนนี้จนฟ้าดินสั่นสะเทือน 

เห็นเพียงร่างกายเขาแข็งแกร่งไม่สั่นคลอน ทว่าราชาเทพระดับเก้าคนนั้นกลับถูกพลังที่เกะกะระรานของเขาสั่นสะเทือนจนถอยหลังกลับไปหลายร้อยเมตร สีหน้าอารมณ์ดูตะลึงงัน

ไม่เพียงแค่ราชาเทพระดับเก้าแห่งแดนเทวบรรพอัคคีคนนี้เท่านั้น ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าขั้นสูงทั้งสองคนนั้นจากวังชิงเทียนก็มองดูจนเหม่อลอยไปแล้ว

พวกเขาทั้งสองร่วมมือกัน แต่ก็แค่พอจะต้านทานพลังโจมตีของราชาเทพระดับเก้าแห่งแดนเทวบรรพอัคคีคนนี้ได้เท่านั้น ทว่ากลับไม่มีทางเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย

ส่วนผู้น้อยคนนี้กลับสุดยอดกว่ามาก พุ่งสังหารเข้ามาในกองทัพนับหมื่นได้อย่างราบรื่น ปานพุ่งเข้าไปในดินแดนไร้ผู้คน อาศัยร่างเนื้อร่างเทวก็ถึงกับต้านทานพลังโจมตีของราชาเทพระดับเก้าได้แล้ว เจ้าหมอนี่มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่?

หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก มีรัศมีที่ขมุกขมัวปกคลุมอยู่บนใบหน้าเขา ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าเขา เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าถ้าเกิดผู้อื่นจำตัวเองได้ละก็ ในฐานะที่นักพรตชิงชานเป็นผู้สืบทอดของวังชิงเทียนในยุคปัจจุบัน เขาไม่มีทางปล่อยตนไปแน่นอน 

“แท่นบูชาฐานค่ายถูกทำลายล้างไปแล้ว ทั้งสองยังไม่จากไปอีกหรือ?”

หลัวซิวพูดกับผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนนั้นจากวังชิงเทียนประโยคหนึ่ง จากนั้นเขาก็ผันร่างเป็นแสงกลบินไปทางขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป 

ผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนนั้นจากวังชิงเทียนก็ตอบสนองกลับมาได้ทันที วัตถุประสงค์ที่พวกเขาบุกสังหารเข้ามาในแดนเทวบรรพอัคคีก็เพื่อจะทำลายล้างแท่นบูชาฐานค่าย ในเมื่อบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ย่อมไม่มีทางอยู่ที่นี่ต่ออยู่แล้ว 

หลังจากกลับไปถึงตำหนักกิ่งโยงพลัง หลัวซิวก็นำป้ายบัญชาภารกิจส่งมอบไปที่ภารกิจของแดนเทวบรรพอัคคี

“ท่านผู้อาวุโส สงครามในแดนเทวบรรพอัคคียังไม่สิ้นสุด ดังนั้นท่านยังไม่สามารถได้รับกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมสิบล้านก้อนเป็นของรางวัลนะเจ้าคะ”

ผู้ที่รับผิดชอบดูแลคือโฉมงามนางหนึ่ง อีกทั้งนางไม่ได้บริการไม่ดีเพียงเพราะหลัวซิวยังดูหนุ่มมาก ๆ

ถึงแม้ขอแค่สมัครเข้าร่วมภารกิจนี้ ก็จะได้รับกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมสิบล้านก้อนเป็นรางวัลตอบแทนแล้ว ทว่าเงื่อนไขแรกคือจำเป็นต้องรอให้สงครามในแดนเทวบรรพอัคคีสิ้นสุดลงก่อน ถึงจะสามารถกลับมารับของรางวัลดังกล่าวได้ในตำหนักกิ่งโยงพลัง

แท้จริงแล้วไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าศึกสงครามในครั้งนี้จะดำเนินการไปนานเท่าไหร่ สุดท้ายจอมยุทธ์ที่สมัครร่วมสงครามจักมีชีวิตรอดกลับมาเท่าไหร่นั้น ก็เป็นจำนวนที่ไม่อาจทราบได้เช่นกัน 

“รบกวนช่วยข้าคำนวณของรางวัลอื่น ๆ ด้วยสิ”หลัวซิวพยักหน้า และไม่ได้ถามอะไรมากนัก

“ได้เลยเจ้าค่ะ ท่านผู้อาวุโสกรุณารอสักครู่นะเจ้าคะ”

ฝ่ายตรงข้ามนำป้ายบัญชาการภารกิจของหลัวซิวใส่เข้าไปในอุปกรณ์ค่ายกล จากนั้นข้อมูลจำนวนมากที่ป้ายบัญชาการบันทึกเองโดยอัตโนมัติก็ปรากฏอย่างต่อเนื่อง 

“จำนวนสังหารบนสนามรบ เทพมารระดับเจ็ด 103 คน เทพมารระดับแปด 423 คน เทพมารระดับเก้า 11 คน! ทำลายล้างแท่นบูชาฐานค่ายหนึ่งแท่น!”

เมื่อสตรีที่มีหน้าที่ดูแลต้อนรับเห็นข้อมูลที่ปรากฏ นางก็แทบจะร้องเสียงหลงเลยทีเดียว 

ทว่านางก็ควบคุมสภาพอารมณ์ที่ตื่นเต้นดีใจของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดกับหลัวซิวด้วยน้ำเสียงที่เคารพนอบน้อมมากกว่าเดิม “ผู้อาวุโส ข้อมูลภารกิจของท่านสูงเกินไป ซึ่งข้าไม่มีสิทธิ์จัดการ ได้โปรดกรุณารออีกสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปเชื้อเชิญผู้อาวุโสมา”

หลัวซิวสามารถฟังออกอยู่ว่าน้ำเสียงของนางสั่นคลอนเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าระดับของทรัพยากรการฝึกตนอย่างหินบรรพไท่ชูสูงเกินไป ซึ่งไม่ใช่พนักงานต้อนรับคนหนึ่งสามารถตัดสินใจได้ 

เมื่อเห็นว่าหลัวซิวพยักหน้า หลังจากสตรีก้มคำนับอย่างเคารพนอบน้อมเสร็จ นางก็หยิบไข่มุกสื่อสารออกมาหนึ่งเม็ดแล้วส่งข้อความออกไปหนึ่งข้อความ

หลังจากผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก็มีผู้อาวุโสเส้นผมสีเทาคนหนึ่งปรากฏ “มีคนจะส่งมอบภารกิจการทำลายล้างแท่นบูชาฐานค่ายหรือ?”

ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสในจุดแบ่งภารกิจ หลังจากที่เขาได้ยินข่าวคราวดังกล่าวแล้วก็รู้สึกตะลึงมากเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้าร่วมศึกสงครามในแดนเทวบรรพอัคคี แต่ก็รู้อยู่ว่าการที่จะทำลายล้างแท่นบูชาฐานค่ายนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากมากเพียงใด ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้า ก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำลายล้างได้ ยิ่งกว่านั้นคืออาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ถูกรุมโจมตีแล้วส่งผลให้ดับสลายสูญสิ้นได้ด้วย 

เมื่อเขาเห็นว่าจอมยุทธ์ที่มาส่งมอบภารกิจดังกล่าวคือชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาก็ยิ่งยากที่จะปิดบังความรู้สึกช็อกในใจ 

“ผู้เพื่อนยุทธ์เชิญขอรับ”เขาก็ไม่ได้ดูถูกหลัวซิวเพียงเพราะยังหนุ่มเช่นกัน ถึงแม้เขาจะอยู่ในแดนเทพมารระดับเก้า แต่ก็ไม่กล้าทำตัวจองหองต่อหน้าราชาเทพระดับเก้าคนหนึ่ง ในส่วนของออร่าผลการฝึกตนที่แพร่กระจายออกมาจากร่างกายหลัวซิวนั้น กลับถูกเขามองข้ามโดยสิ้นเชิงเลย 

“ผู้เพื่อนยุทธ์เกรงใจเกินไปแล้ว หากภารกิจไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ สามารถส่งมอบของรางวัลให้ข้าได้แล้วใช่หรือไม่?”หลัวซิวยิ้มอ่อน 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ