เมื่อเห็นฝักดาบหวูชวน หลัวซิวก็จะนึกถึงจี้หวูชวง แม้นชาติปางก่อนจะตัดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทิ้ง แต่เขาก็ไม่มีวันลืมสตรีที่งดงามปราดเปรื่องนั่นได้
“หวูชวน เจ้าก็กลับชาติมาเกิดแล้วหรือ?”
หลัวซิวพูดพึมพำในใจอย่างอดไม่ได้ ในภพชาตินี้ ผู้แข็งแกร่งยุคโบราณต่างพากันกลับชาติมาเกิดสำเร็จแล้ว ร่างของผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่กลับชาติมาเกิดล้วนรวมตัวกันอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน ซึ่งต้องมีมหันตภัยเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นประมุขเต๋าในชาติปางก่อนก็ดี ผู้สูงส่งก็ช่าง หลังจากกลับชาติมาเกิดแล้วทุกอย่างล้วนกลับมาเป็นศูนย์ ผลการฝึกตนทั้งปวงล้วนต้องเริ่มต้นใหม่ ในยุคปัจจุบันที่ยังไม่มีประมุขเต๋าบังเกิด จุดประสงค์แรกของพวกเขาต้องเป็นการบรรลุเป็นประมุขเต๋าแน่นอน ยิ่งกว่านั้นคืออยากพัฒนาอีกขั้นบรรลุสู่แดนบรรพเทพและเซียนในตำนาน
ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้แข็งแกร่งทุกคน ผู้ใดจะสามารถกลายเป็นประมุขเต๋าได้นั้น ก็จะสามารถยึดกุมสิทธิ์และอำนาจในการแข่งขันของยุคสมัยนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งต่างแข่งขันซึ่งกันและกัน แก่งแย่งโอกาส จึงส่งผลให้ทั้งดาราจักรวาลสั่นสะเทือน
มกุฎศักดิ์สิทธิ์บรรพอัคคี บรรพยักษ์ตรีภพ เด็กหญิงที่อยู่ในโลงแก้ว แล้วก็อาจารย์เมื่อชาติปางก่อนของเขา……
สำหรับหลัวซิว ณ ปัจจุบันแล้ว การคงอยู่ของบุคคลทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นล้วนลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้ เขาในตอนนี้ยังแข็งแกร่งไม่มากพอ แต่ว่าอนาคตคอยหลังจากผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนที่แน่นอนแล้ว เช่นนั้นคู่ต่อสู้ของเขาก็ต้องเป็นกลุ่มคนประเภทเดียวกันแน่นอน!
สูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง หลัวซิวสลัดความคิดซับซ้อนทั้งหมดในหัวทิ้ง ก่อนที่สายตาจะร่วงลงบนฝักดาบหวูชวนที่มีสนิมเกาะเล็กน้อย
ฝักดาบที่จี้หวูชวงหลอมสร้างขึ้นมาเพื่อดาบเทพไร้เทียมทาน ย่อมไม่มีทางเกิดสนิมได้อยู่แล้ว บางทีผู้อื่นอาจจะมองความลี้ลับนี้ไม่ออก ทว่าหลัวซิวกลับสามารถมองทะลุตั้งแต่แวบแรกที่เห็น สาเหตุที่ฝักดาบขึ้นสนิมนั้น เป็นเพราะมันไม่เจอเจ้าของของตัวเอง จึงเข้าสู่สภาวะผนึกตน
หลัวซิวมองชายหนุ่มแห่งหอมกุฎดาบที่อยู่ตรงหน้านี้หนึ่งรอบ หอมกุฎดาบคือแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดที่เน้นฝึกวิถีดาบเป็นหลัก การถ่ายทอดสืบสานในสายของพวกเขามีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนต่อวัตถุบนวิถีดาบสูงมาก บางทีเขาอาจจะสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของฝักดาบเล่มนี้ ดังนั้นถึงได้รู้สึกหวั่นไหว
แต่หลัวซิวก็สามารถยืนยันได้เช่นกันว่าศิษย์แห่งหอมกุฎดาบนี่ไม่ทราบมูลค่าที่แท้จริงและความล้ำค่าของฝักดาบหวูชวนด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นละก็เขาคงไม่มาต่อรองราคากับเจ้าของแผงอยู่ที่นี่แล้วล่ะ
“ข้าจักซื้อฝักดาบนั่นเอง”
หลัวซิวย่างเท้าเดินเข้าไป ก่อนจะโยนแหวนเก็บของวงหนึ่งให้ฝ่ายตรงข้าม
ชายวัยกลางคนยื่นมือออกไปรับแหวนเก็บของด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง ก่อนจะใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจภายใน
“ฝักดาบนี่เป็นของเจ้าแล้ว”
ชายวัยกลางคนตอบกลับได้เด็ดเดี่ยวและตรงไปตรงมามาก โบกมือแล้วเก็บแหวนเก็บของเข้าที่ ไม่สนใจศิษย์แห่งหอมกุฎดาบนั่นอีก
กิริยาท่าทางของหลัวซิวไม่ชักช้ายืดยาดเลยแม้แต่น้อย นี่จึงทำให้ศิษย์แห่งหอมกุฎดาบคนนี้มึนงงเล็กน้อย ก่อนจะยกแขนขึ้นมาขวางทางหลัวซิวที่กำลังจะจากไป
“เจ้ามีเรื่องอันใดรึ?”หลัวซิวมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาที่เย็นชารอบหนึ่ง
“ส่งฝักดาบนั่นมา จวินจือเตาข้าจักให้ราคาเจ้าเพิ่มเป็นทวีคูณ!”ชายหนุ่มจากหอมกุฎดาบพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
จวินจือเตาต้องมองเห็นความไม่ธรรมดาของฝักดาบอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่เสียเวลามาปะทะฝีปากกับเจ้าของแผงอยู่ที่นี่หรอก
แต่ทว่าราคาฝักดาบที่ชายวัยกลางคนเจ้าของแผงขายคือกรองแก้วโลหิตสิบล้านก้อน แม้นเขาจะเป็นศิษย์แห่งหอมกุฎดาบ แต่ก็ตัดใจควักออกมาง่าย ๆ ไม่ได้
แน่นอนอยู่แล้วว่าเขามีปัญญาควักกรองแก้วโลหิตสิบล้านก้อนออกมาอยู่ แต่แค่คิดว่าอย่างน้อยประหยัดได้นิดหนึ่งก็นิดหนึ่ง ดังนั้นถึงได้ต่อรองราคากับเจ้าของแผง
แต่เมื่อเขาเห็นผู้อื่นซื้อฝักดาบไป เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าตัวเองประมาทไปหน่อย ในเมื่อคนดังกล่าวทำการซื้อฝักดาบไปอย่างไม่ลังเลใจ แสดงว่าฝักดาบดังกล่าวต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แล้วเขาจะมีทางปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไรเล่า?
ในส่วนของการเพิ่มราคาให้ทวีคูณนั้น จวินจือเตาไม่ได้นำมาใส่ใจเลย ต่อให้เขาเอากรองแก้วโลหิตออกมา 20 ล้านก้อน เจ้าหมอนี่กล้ารับไว้หรือ?
บุคลิกลักษณะของหลัวซิวดูหนุ่มมาก ๆ บนชุดคลุมยาวดำก็ไม่มีสัญลักษณ์พิเศษของแดนศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ด้วย โดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์ประเภทนี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญตนอิสระ ไม่มีสำนักใด ๆ หากเป็นเพียงจอมยุทธ์หนุ่มที่บำเพ็ญโตอิสระคนหนึ่งละก็ เช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถเทียบเคียงตัวตนกับจวินจือเตาเขาได้ด้วยซ้ำ
และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง จวินจือเตาจึงคิดว่าฝ่ายตรงข้ามต้องยอมประนีประนอมอยู่ภายใต้ความแข็งกร้าวของตัวเองแน่นอน ไม่แน่เขาอาจจะไม่ต้องเอากรองแก้วโลหิตสิบล้านก้อนออกมาเลยด้วยซ้ำ ก็ได้ครอบครองฝักดาบนั่นแล้ว
แต่ว่าจวินจือเตาสำคัญตัวเองมากเกินไป ในขณะที่เขาพูดคำพูดเหล่านี้ หลัวซิวไม่ได้ชายตาลงไปมองเขาเลยด้วยซ้ำ แค่พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “หากเจ้าเสนอราคาเพิ่มอีกร้อยเท่า บางทีข้าอาจนำไปพิจารณาได้”
เมื่อจวินจือเตาได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าก็เขียวช้ำลงไปทันที หากไม่ใช่เพราะที่นี่คือเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน เขาคงชักดาบออกมาสังหารคนดังกล่าวอย่างไม่ลังเลใจแน่นอน
“อย่าทำตัวไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็งเลย มึงอย่าลืมผลลัพธ์ของการเป็นศัตรูกับหอมกุฎดาบของกูเชียวนะ”จวินจือเตาพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“มึงใหญ่โตมาจากที่ใด? ศิษย์ที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้ากระจอก ๆ อย่างมึง ก็สามารถเป็นตัวแทนของหอมกุฎดาบได้รึ?”
สามารถพูดได้เลยว่าน้ำเสียงของหลัวซิวไม่มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ปิดบังเสียงของตัวเองเช่นกัน นี่จึงทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงล้วนได้ยินลาดเลาฝั่งนี้ จึงมีคนจำนวนไม่น้อยรุมล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...