มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2860

ตู๋กูมีอายุการมีชีวิตที่ยาวนานมาก เนื่องจากเขาได้เกิดในยุคของผู้สูงส่งที่เป็นผู้เปิดแดนศักดิ์สิทธิ์อาณากระบี่หวูจี๋ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาได้เป็นศิษย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋ตั้งแต่ยุควัฏสงสารแล้ว

ส่วนสิ่งที่หลัวซิวต้องการจะถามนั้น ก็คือเรื่องที่เกิดก่อนหน้ายุคแห่งความโกลาหล และช่วงเวลานั้น ตู๋กูก็อยู่ในยุคนั้นด้วยเช่นกัน

เมื่อสงครามวัฏสงสารครั้งที่ 8 สิ้นสุดลง พวกเผ่าจี้ที่เคยเป็นที่ยอดเยี่ยมในโลกเสวียนก็กลายเป็นผู้ที่ตกต่ำลง จี้หวูชวงที่เจ้ากล่าวถึง นับเป็นผู้หญิงที่เป็นอันดับต้น ๆ ในยุคนั้นทีเดียว”

หลังจากที่หลัวซิวตั้งคำถามเกี่ยวกับเผ่าจี้ สิ่งที่เขาอยากรู้ก็คือ หลังจากที่เขาและเมิ่งเชียนชางเสียชีวิตไปพร้อมกัน ใครกันแน่ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังในการฆ่าจี้หวูชวงและบังคับให้เผ่าจี้ต้องหลบหนีลงสู่โลกามนุษย์

ในชีวิตนี้ หลัวซิวถึงแม้ว่าจะรู้ข่าวการตายของจี้หวูชวงตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่มหาโลกาพันสาม แต่เขาคิดอยู่เสมอว่าจี้หวูชวงอาจจะได้เกิดใหม่ในผ่านวัฏสงสาร หรือจิตดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ในวัฏสงสาร

จนเมื่อเขาได้ค้นพบความทรงจำของลู่เมิ่งเหยาในสถานแหล่งเต๋า หลัวซิวจึงได้รู้ว่าจิตวิญญาณของจี้หวูชวงถูกบดขยี้จนแหลกเป็นสองส่วน!

ช่องจิตดั้งเดิมแตกสลาย ก็จะสูญเสียโอกาสในการเกิดใหม่ผ่านวัฏสงสาร……

“เกี่ยวกับการตายของจี้หวูชวง ศิษย์พี่ก็พอรู้มาอยู่บ้าง”

ตู๋กูถอนหายแล้วเอ่ยต่อ “จี้หวูชวงเสียชีวิตในการต่อสู้เพื่อปกป้องพี่น้องในเผ่า ในเวลานั้นกองกำลังหนึ่งที่ต้องการทำลายเผ่าจี้ เรียกตนเองว่าจ่างเทียนตี้”

“จ่างเทียนตี้กองกำลังนี้มีที่มาอันเก่าแก่ และมีความทะเยอทะยานอย่างมาก มหาทัณฑ์หลายครั้งที่ผ่านมาและสงครามใหญ่ที่สร้างความเสียหายและความทุกข์ทรมาน ต่างเกี่ยวข้องกับกองกำลังนี้ที่คอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง”

“เผ่าจี้เคยเป็นผู้มีอำนาจแห่งโลกเสวียน ในอดีตมีเจ้าเผ่าหลายคนที่ควบคุมวิชาอัญเต๋าของโลกเสวียน หลังจากเผ่าจี้ล่มสลาย จ่างเทียนตี้จึงเข้ามาลงมือกับเผ่าจี้ น่าจะเพื่อแย่งชิงความลับที่เกี่ยวกับวิชาอัญเต๋า”

“จ่างเทียนตี้? ”

หลัวซิวฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็ชะงักไปโดยปริยาย สำหรับชื่อนี้ใช้ว่าหลัวซิวจะไม่คุ้นเคย เรียกได้ว่าเขาได้ยินถึงกองกำลังนี้ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนหน้านี้แล้ว

หลัวซิวยังจำได้อย่างชัดเจน ในขณะนั้นว่ากองกำลังนี้ได้รวมกลุ่มกันเพื่อไล่ล่าชิ้นส่วนของใจแห่งศุภร และเพราะเหตุนี้จึงมีการต่อสู้กันกับเขาหลายครั้งเพื่อการแย่งชิ้นส่วนของใจแห่งศุภร ซึ่งเกี่ยวข้องกับตระกูลเทพสงคราม

ต่อมากองกำลังนี้หายไปโดยไร้ซึ่งข่าวคราว หลัวซิวก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นอีก เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าในช่วงเวลานี้จะได้ยินถึงจ่างเทียนตี้อีกครั้ง

“จ่างเทียนตี้แท้จริงแล้วเป็นกองกำลังแบบใดกันแน่? เหตุใดพวกเขาถึงได้ต้องการรวบรวมชิ้นส่วนใจแห่งศุภร?” หลัวซิวยังคงสงสัยในเรื่องนี้

“พวกเขาไม่เพียงแค่รวบรวมชิ้นส่วนใจแห่งศุภรอย่างเดียว พวกเขายังกำลังรวบรวมทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งล้ำค่าทั้งแปดทุกชิ้น ส่วนจุดมุ่งหมายที่จ่างเทียนตี้ทำเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นเพราะเพื่อต่อกรกับบรรพโบราณแห่งโลกมหาศักดิ์แปดด้านในมหาทัณฑ์ครั้งนี้!”

“บรรพโบราณ? พวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือ?” สีหน้าของหลัวซิวเผยความตกตะลึงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“แน่นอนว่ายังมีชีวิตอยู่ บรรพโบราณกับท่านอาจารย์ของพวกเราเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ในยุคสมัยเดียวกัน เรียกว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันก็ว่าได้ ข้าเคยฟังที่อาจารย์เล่าไว้ มหาทัณฑ์ในสมัยต้าเหยียนทำให้ทั่วทั้งพื้นโลกดารากลายเป็นพื้นที่ร้างไร้สิ่งมีชีวิต บรรพโบราณทั้งแปดท่านจึงใช้วิถีแห่งตนเปิดโลกมหาศักดิ์แปดด้านขึ้นมา จึงทำให้พื้นโลกดาราแห่งนี้มีพลังชีวิตเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้”

“บรรพโบราณแปดท่านยังสามารถก้าวไปอีกขั้นได้เพราะโอกาสจากการเปิดโลกา ในตอนที่ตนเปิดโลกาท่ามกลางห้วงดาราฟ้าดิน ได้ครอบครองพลังที่ใกล้เคียงกับเซียน แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้ที่เป็นข้อบังคับเส้นทางของบรรพโบราณแปดท่าน”

“สามารถพูดได้ว่าท่ามกลางมหาทัณฑ์ครั้งนี้ ไม่ว่าใครหรือกองกำลังใดต่างก็ต้องการก่อความวุ่นวาย ต่างต้องการก่อกรกับบรรพโบราณแปดท่าน เพราะบรรพโบราณแปดท่านอาศัยอัญมณีดั้งเดิมแปดชิ้นสำเร็จเป็นวิถี ดังนั้นจ่างเทียนตี้จึงอยากใช้อัญมณีดั้งเดิมแปดชิ้นเพื่อนำมาวิเคราะห์ และใช้มันเพื่อหาวิธีในการต่อกรกับบรรพโบราณแปดท่าน”

หลัวซิวกลับคาดไม่ถึงว่า คำถามที่ดูเหมือนจะง่ายดายของตนเพียงคำถามเดียว แต่กลับสามารถดึงเอาเรื่องราวที่ลึกซึ้งเช่นนี้ออกมาได้

เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากหนึ่งในสาส์นที่วังหงฮวงแห่งแดนเซียนนอกนภา ท่ามกลางภาพนั้น มีชาวเซียนกำลังบรรยาย และมีคนสิบสี่คนนั่งฟังธรรมนั้นจากชาวเซียน

ตามเบาะแสต่าง ๆ ที่ตนเองได้รับ ดูเหมือนมกุฎเต๋านอกนภา มกุฎเต๋าหวูจี๋ รวมถึงบรรพโบราณแปดท่านต่างก็เป็นบุคคลที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน และศิษย์พี่ตู๋กูยังกล่าวอีกว่ามกุฎเต๋าหวูจี๋และบรรพโบราณแปดท่านเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักเดียวกัน

เช่นนั้นหลัวซิวก็สามารถอนุมานได้ว่า มกุฎเต๋านอกนภา มกุฎเต๋าหวูจี๋ รวมถึงบรรพโบราณแปดท่าน ต่างเป็นหนึ่งในสิบสี่คนที่เป็นศิษย์ของชาวเซียนในตอนนั้น!

“จ่างเทียนตี้มีความลึกลับอยู่เสมอ มังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง ต่อให้เป็นท่านอาจารย์ก็ไม่อาจรู้ว่าที่ซ่อนของพวกมันอยู่ที่ไหน”

แม้จะรู้ข้อมูลจากตู๋กูมามาก แต่สุดท้าย สิ่งที่ได้กลับเป็นเพียงคำตอบทั่วไป

เนื่องจากแม้แต่อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าที่ซ่อนของ จ่างเทียนตี้ว่าอยู่ที่ไหน หลัวซิวก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่าต่อให้ตนไปพบอาจารย์ก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาต่อที่ลึกลับและคาดเดาไม่ได้ มีโอกาสมากที่เขาจะไปตายเปล่าเท่านั้น

เมื่อบอกลาศิษย์พี่ตู๋กู หลัวซิวก็ออกจากอาณากระบี่หวูจี๋

เขาฝึกฝนอยู่ในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาสิบแปดปี รูปแบบของโลกร้างมีความสับสนอลหม่านมากขึ้น

และในตอนที่หลัวซิวเพิ่งออกมาจากอาณากระบี่หวูจี๋ ทันใดนั้นอนัตตาก็สั่นไหว สายตาคู่หนึ่งหลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของอนัตตา จ้องมองไปยังแผ่นหลังที่กำลังเดินจากไปของหลัวซิว

“หลัวซิวผู้นี้ ในที่สุดก็ยอมออกมาแล้วงั้นรึ? ตามรายงานที่เรามีอยู่ในมือ เจ้าหนุ่มคนนี้สามารถต้านทานจักรพรรดิเทพขั้นเก้าและไม่ตาย ดูท่าแล้วที่วรยุทธ์กลั่นร่างเขาฝึกตนนั้นยอดเยี่ยมทีเดียว”

“กระดูกที่มันแข็งเกินไปเราก็ไม่ต้องไปจัดการด้วยตนเองหรอก ปล่อยข่าวออกไป ย่อมจะต้องมีคนมาจัดการเขาแน่นอน”

น้ำเสียงของคนสองคนพูดคุยกันผ่านส่วนลึกของอนัตตา ทันใดนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ