มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2870

หลังจากรู้ว่าเสิ่นปิงหยูอยู่ที่ไหนแล้ว หลัวซิวก็กำลังจะออกไปช่วยตคนทันที แต่เขารู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเขา เขายังไม่สามารถต่อกรกับกองกำลังใหญ่เช่นชนเผ่าเฉว่ซ่า ได้

ชนเผ่าเฉว่ซ่าในตอนนี้มีชื่อเสียงในด้านความชั่วร้าย ในชนเผ่ามีบรรพจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่ แล้วยังมีค่ายกลที่โหดเหี้ยมนัก เช่น ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์

หากชนเผ่าเฉว่ซ่าจัดการได้ง่ายขนาดนั้น แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นนำในโลกร้างก็คงไม่ยอมให้พวกเขาดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้

หลังจากที่ ชุยหมิงจากไป หลัวซิวได้เรียกซิงเฉินมา ให้เขานำเครื่องรางของเขาไปพบตู๋กูเจี้ยนเฉินในอาณากระบี่หวูจี๋

เรื่องนี้หลัวซิวไม่ต้องการรบกวนศิษย์พี่ของเขาง่ายๆ เว้นแต่ว่าเขาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองจริงๆ เขาจะขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่และอาจารย์

แต่เขาตระหนักดีถึงความสามารถของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงยังคงวางแผนที่จะขอให้ตู๋กูเจี้ยนเฉินลงมือ เพราะตอนนี้ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็อยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้วและหากเขาลงมือ เขาจะมั่นใจในการช่วยคนมากขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน ซิงเฉินก็กลับมา แต่ซิงเฉินไม่ได้มอบเครื่องรางให้กับตู๋กูเจี้ยนเฉิน

“ประมุขหุบเขา ผู้อาวุโสไท่ซ่างกำลังปิดขังฝึกตนทุกขเวทนา ไม่พบใครทั้งนั้น” ซิงเฉินพูดอย่างรู้สึกผิด หลัวซิวไม่ค่อยให้เขาทำอะไร แต่เขากลับไม่สามารถทำสิ่งเล็กน้อยนี้ให้ดีได้

หลัวซิวไม่แปลกใจ ตู๋กูเจี้ยนเฉินเพิ่งบรรลุมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปด ต้องการเวลาเพื่อมั่นคงผลการฝึกตนของเขา ครั้งก่อนเขาไปช่วยเขาเลยช้าไป ตอนนี้เขาอยู่ในตำแหน่งปิดขังฝึกตนทุกขเวทนา ไม่สามารถถูกรบกวนได้ง่ายๆ ดังนั้น ซิงเฉินจึงถูกห้ามโดยผู้คุมกฎผู้อาวุโสของอาณากระบี่

ตามการประมาณการของหลัวซิว ตู๋กูเจี้ยนเฉินกำลังจะออกจากการปิดขังฝึกตนในไม่ช้า และก่อนที่เขาจะออกจากการปิดขังฝึกตน เขาต้องการเวลาเพื่อยกระดับเคล็ดเซียนแปรเก้าไปสู่อีกระดับเล็กน้อย

แม้ว่าหลัวซิวรู้ดีว่าการไปช่วยเสิ่นปิงหยูเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการช่วยชีวิตคนคือการที่เขามีความสามารถนั้น ดังนั้นไม่ว่าเขาจะร้อนรนแค่ไหน เขาก็ได้แต่รออย่างอดทน

...

ก่อนหน้านี้ หลัวซิวได้ฝึกฝนเคล็ดเซียนแปรเก้าไปถึงแดนแปรที่สี่แล้ว เมื่อเทียบกับแปรที่สาม การป้องกันทางร่างเนื้อของแปรที่สี่ไม่ชัดเจนนัก แต่ทำให้ความแข็งแกร่งทางร่างเนื้อถึงระดับที่เทียบได้กับสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพ

ด้วยแดนราชาเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ กลั่นร่างเนื้อออกมาแบบนี้ได้เป็นสิ่งที่ท้าทายนัก แต่หลัวซิวกลับไม่พอใจ เขายังต้องการพลังที่ทรงพลังมากกว่านี้

หลังจากทะลวงผ่านชั้นที่ยี่สิบสองของวังเซียนศักดิ์สิทธิ์แล้ว หลัวซิวก็ได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งในนั้นเขาได้เลือกสมุนไพรเพิ่มพลังมากมายที่สามารถใช้เพื่อชุบร่างเนื้อฝึกฝนเคล็ดเซียนแปรเก้า

“แม้ว่าจะมีสมบัติมากมายแต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับข้าที่จะทะลวงไปสู่แปรที่หก” หลัวซิวถอนหายใจด้วยความเสียดาย แม้ว่าเคล็ดเซียนแปรเก้าจะทรงพลัง แต่สมบัติที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝนก็น่ากลัวไม่แพ้กัน

เพราะแม้แต่ตู๋กูที่บรรลุถึงแดนผู้สูงส่งแล้ว ก็สามารถฝึกฝนวิธีการฝึกฝนวิชากลั่นร่างนี้จนถึงแปรที่หกได้เท่านั้น

เมื่อเคล็ดเซียนแปรเก้าสามารถฝึกฝนได้ถึงแปรที่หก ร่างเนื้อจะเทียบได้กับเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์ และพลังการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ธรรมดาเหมือนกับหนึ่งหรือสองระดับ

อย่างไรก็ตาม หลัวซิวมั่นใจว่าฝึกฝนถึงแปรที่ห้า ร่างเนื้อของเขาจะบรรลุถึงสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพสุดขีด ซึ่งเทียบเท่ากับสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพชั้นยอด!

สมบัติแห่งจักรพรรดิเทพชิ้นหนึ่งที่ทรงพลังอย่างยิ่งถูกวางไว้ในมือของหลัวซิว ด้วยผลการฝึกตนของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงพลังทั้งหมดของสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพออกมา

แต่ร่างเนื้อของเขาเองอยู่ภายใต้การควบคุมร่างกายของเขา ร่างเนื้อของเขาเปรียบได้กับสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพ ดังนั้นเขาจึงสามารถพัฒนาพลังของร่างเนื้อได้อย่างเต็มที่และใช้พลังที่ทรงพลังที่สุด

พลังของสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพ ในแง่หนึ่งแข็งแกร่งกว่าพลังของจักรพรรดิเทพเอง สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวแสดงความแข็งแกร่งได้ไกลกว่าพันธนาการและข้อจำกัดของผลการฝึกฝนของเขาเอง

นี่คือสิ่งที่ร่างเนื้อกลั่นแปรถึงระดับสูงที่สุดและน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง

เมื่อเวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ หลัวซิวใช้เวลาเพียงเกือบหนึ่งเดือนในการฝึกฝนเคล็ดเซียนจนถึงแปรที่ห้า และผลการฝึกตนของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ถึงราชาเทพวัฏจักรสี่ขั้นปฐมภูมิสูงสุด

เมื่อหลัวซิวออกจากปิดขังฝึกตน ซิงเฉินได้รออยู่นอกวังซิวหลัวเป็นเวลานานแล้ว และตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ออกจากปิดขังฝึกตน แล้วด้วย!

อย่างนี้แล้ว ทุกอย่างก็อยู่ในแผนของหลัวซิว!

หลังจากนั้นไม่นาน ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็มาถึงวังซิวหลัว ผลการฝึกตนของเขามั่นคงแล้วและกลิ่นอายที่ผันผวนแต่เดิมของปราณมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ถูกควบคุมไว้ในร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์ หยั่งเชิงไม่ได้

“เจ้าเรียกให้ข้ามาทันทีหลังจากที่ข้าออกจากการปิดกั้นฝึกตน มีเรื่องอะไรอีก?” ในใจตู๋กูเจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ช่วงนี้ไม่อยากเดินไปกับหลัวซิวเสียจริง เพราะเมื่อเขาคิดจะต้องเรียกชายคนนี้ว่าอาจารย์อา ในใจก็รู้สึกเศร้านัก

แต่หลัวซิวส่งคนมาตามหาเขา และเมื่อเขารู้แล้ว เขาก็ต้องมา ดังนั้นในใจเจี้ยนเฉินจึงรู้สึกจนปัญญา

“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าไปช่วยคนๆหนึ่งด้วยกัน” หลัวซิวพูดเรื่องที่เสิ่นปิงหยูถูกจับตัวไปโดยชนเผ่าเฉว่ซ่าออกมา

“ชนเผ่าเฉว่ซ่าฆ่าตัวตายเอง!” หลังจากได้ฟังแล้ว ดวงตาของตู๋กูเจี้ยนเฉินก็คมชัดขึ้น เพราะเขารู้ว่าคนของ“ชนเผ่าเฉว่ซ่าได้โจมตีและสังหารหลัวซิวในเมืองต้าฮวงโบราณ การกระทำแบบนี้เป็นการยั่วยุอาณากระบี่หวูจี๋

หลัวซิวพยักหน้า ในขณะนี้ มีคนอีกสองคนเข้ามาในวังซิวหลัว คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มในชุดดำ และอีกคนเป็นชายหนุ่มในชุดสีเขียว

“คารวะประมุขหุบเขา”

หุบเขาเฉว่ซ่าเป็นหนึ่งในสองรังเก่า แม้ว่าเรียกว่าหุบเขา แต่ก็ไม่ได้เป็นเพียงหุบเขาแห่งหนึ่ง แต่เป็นหุบเขาที่มีรัศมีหลายแสนไมล์เป็นศูนย์กลาง ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของชนเผ่าเฉว่ซ่า

รังแห่งนี้เป็นที่อยู่ของผู้คนชนเผ่าเฉว่ซ่าที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จำนวนมาก จำนวนของนักยุทธ์มีหลายร้อยล้านคน ค่ายกลต้องห้ามต่างๆ ก็เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเป็นฐานมั่นคงที่ยากจะบุกเข้าไปได้

ในเทื่อเป็นหนึ่งในรัง แน่นอนว่ามีความสำคัญนัก และกองกำลังป้องกันในทุกด้านก็แข็งแกร่งมาก

ตามข้อมูลที่ได้รับจากอาณากระบี่หวูจี๋ ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่ในรังของหุบเขาเฉว่ซ่า แต่เพราะความพยายามอย่างอุตสาหะของหุบเขาเฉว่ซ่ามาเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี แม้ว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์หลายคนร่วมมือกันโจมตีก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบุกทะลวงฐานที่มั่นนี้ไปได้

เตาเซียนหนึ่งบินลงมาจากท้องฟ้า หลัวซิวและตู๋กูเจี้ยนเฉินยืนอยู่ด้านหน้า หลี่ยู่และเย่ห้าวหรานยืนอยู่ด้านหลัง มองไปยังทิศทางของหุบเขาเฉว่ซ่า

เนื่องจากชนเผ่าเฉว่ซ่าฝึกฝนวิถีแห่งการสังหาร ดังนั้นทั่วทั้งหุบเขาปีศาจโลหิตจึงปกคลุมไปด้วยออร่าแห่งการสังหารที่ไร้ขอบเขต และในขณะเดียวกันก็มีออร่าที่อันตรายอย่างยิ่งส่งมาจากด้านหน้า ซึ่งหมายความว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายยิ่งนัก ไม่ควรบุกเข้าไปอย่างผลีผลาม

“เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร? แม้ว่าข้าจะอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดแล้วก็ตาม ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบุกเข้าไป บางทีถ้าข้าไม่ระวัง ข้าอาจตายอยู่ที่นี่ก็ได้” ตู๋กูเจี้ยนเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ห้าวหราน เจ้าคิดว่าอย่างไร?” หลัวซิวไม่ตอบคำถามของตู๋กูเจี้ยนเฉิน แต่หันไปหาเย่ห้าวหรานที่อยู่ข้างหลังเขา

เย่ห้าวหรานพยักหน้า ก้าวไปข้างหน้า สายตามองไปยังทิศทางของหุบเขาเฉว่ซ่า จากนั้นมีวิสัยทัศน์มากมายผุดขึ้นมาในดวงตาของเขา และเขาก็เริ่มอนุมานภูมิประเทศรอบ ๆ หุบเขาเฉว่ซ่า

แม้ว่าเย่ห้าวหรานจะเป็นเพียงมกุฎเทพระดับเก้า แต่เนื่องจากฝึกฝนเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ ตัวสำนึกวิญญาณของเขาจึงเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ นอกจากนี้ เขายังมีความเชี่ยวชาญอย่างมากในด้านวิถีค่ายกล ความสามารถในการอนุมานอย่างกับภูตผีปีศาจ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สายตาของเย่ห้าวหรานก็กลับสู่ความสงบ เขาพูดช้าๆ “ประมุขหุบเขา ตามการอนุมานของข้า ภูมิประเทศรอบหุบเขาเฉว่ซ่า ภูเขา แม่น้ำ พืชและต้นไม้ ตลอดจนถึงสิ่งสถาปัตยกรรมทุกแห่งถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่โตมากนัก”

“ในนี้มีค่ายกลต้องห้ามมากถึง63.74ล้านแห่ง และค่ายกลต้องห้ามมากกว่าสองแห่งที่รวมกันตามต้องการ เป็นค่ายกลต้องห้ามที่เข้มงวดกว่า ค่ายกลต้องห้ามทั้งหมดรวมกันก็กลายเป็นค่ายกลหนึ่งเดียว ซึ่งยากต่อการทำลาย”

ตามที่เย่ห้าวหรานพูด ระดับของค่ายกลต้องห้ามรอบหุบเขาเฉว่ซ่านั้นไม่สูง แต่มีมากเกินไป และการรวมกันของค่ายกลต้องห้ามระดับต่ำจำนวนมากสามารถสร้างค่ายกลต้องห้ามที่ทรงพลังระดับสูงได้ ซึ่งก็คือรากฐานที่สะสมมาเป็นเวลาเนิ่นนานนั่นเอง!

ในขณะที่พูด เย่ห้าวหรานโบกมือเปิดม้วนแผนที่ค่ายกลที่ว่างเปล่า ทำเครื่องหมายจุดแสงแต่ละจุดลงบนแผนที่ค่ายกล แต่ละจุดแสงแสดงถึงค่ายกลต้องห้ามแห่งหนึ่ง โดยมีทั้งหมด63.74ล้านแห่ง ค่ายกลต้องห้ามเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วแผนที่ค่ายกล ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า กลายกันเป็นค่ายกลที่ใหญ่กว่า

“ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์?”

เมื่อหลัวซิวเห็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยค่ายกลต้องห้ามเล็กๆ น้อยๆ นับไม่ถ้วน ดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อยอย่างอัตโนมัติ เพราะเขาบังเอิญมีค่ายโลหิตมารฉกรรจ์อยู่ในมือหนึ่งม้วนพอดี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ