ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์คือค่ายใหญ่ทักษาพันธุ์ของชนเผ่าเฉว่ซ่า ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่หลัวซิวได้รับมาเป็นเพียงผังค่ายที่เรียบง่าย
ต่อให้เป็นเพียงผังค่ายที่เรียบง่าย มันก็มีพลานุภาพที่เทียบทัดสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพเช่นกัน จึงแสดงให้เห็นเลยว่าค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่สมบูรณ์ครบถ้วนมันน่าสยดสยองมากเพียงใด
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในซ่องโจรที่ทุ่มแรงกายแรงใจดูแลบริหาร ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ฝั่งหุบเขาเฉว่ซ่าเป็นค่ายกลที่ใกล้เคียงกับขั้นสูงสุดที่สุดอย่างไร้ข้อสงสัยแล้วล่ะ
ทันทีที่พุ่งเข้าไปอย่างมุทะลุ ขอแค่ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์เปิดออก ก็จะสามารถผนึกฟ้าผนึกดิน กักขังศัตรูที่บุกรุกเข้ามา จากนั้นค่อยผนึกรวมจิตสังหารที่น่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตออกมาโจมตีตัวธรรม ตลอดจนเรียกปีศาจแท้เพชฌฆาตออกมา
ค่ายฉกรรจ์สุดหล้าประเภทนี้ไม่ใช่สิ่งที่ชนเผ่าเฉว่ซ่าริเริ่มแต่อย่างใด เล่ากันว่าชนเผ่าเฉว่ซ่าได้รับมาจากโบราณสถานที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง
“ช่างเป็นค่ายใหญ่ที่ซับซ้อนยิ่งนัก ค่ายกลเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลธรรมดาทั่วไปสามารถริเริ่มออกมาได้อย่างแน่นอน”หลัวซิวหรี่ตาลง
เขาเคยได้รับฎีกาค่าย ซึ่งเคยพบเห็นรู้จักค่ายกลระดับประมุขเต๋าอย่างมหาค่ายกักชีวีเทวโทษเวหากาล
แต่มาตรแม้นว่าเป็นมหาค่ายกักชีวีเทวโทษเวหากาล ในด้านความซับซ้อนของมัน ก็ไม่ซับซ้อนกว่าค่ายโลหิตมารฉกรรจ์นี่อย่างแน่นอน
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าระดับขั้นของค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ดังกล่าว อย่างน้อยก็เป็นค่ายกลระดับประมุขเต๋า
“ชนเผ่าเฉว่ซ่าเล็ก ๆ ถึงกับมีค่ายกลที่ทรงพลังเช่นนี้เลยรึ?”หลัวซิวสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
“อย่าได้ดูถูกตระกูลชนเผ่าหรือสำนักใด ๆ ที่สามารถถ่ายทอดสืบสานกันมาได้หลายร้อยล้านปีเชียว กองกำลังใหญ่ที่ชนเผ่าเฉว่ซ่ารุกรานนั้นมีเยอะมาก ทว่าพวกเขากลับสามารถคงอยู่มาได้ยาวนานเช่นนี้ จึงย่อมต้องมีเหตุผลและภูมิฐานที่สามารถคงอยู่มาได้ยาวนานเช่นนี้อยู่แล้ว”ตู๋กูเจี้ยนเฉินพูดกระแทกเสียงต่ำ
“ข้ามิได้ใช้คำพูดที่พูดเกิดความเป็นจริง การที่อยากทลายหุบเขาเฉว่ซ่าได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องมีมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อสิบคนขึ้นไปร่วมมือกัน หรือผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งลงมือด้วยตนเองถึงจะสามารถทลายได้”
ตู๋กูเจี้ยนเฉินส่ายหน้า “จากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของเรา การที่อยากแตะต้องชนเผ่าเฉว่ซ่านั้น ยังอีกไกลมาก ๆ”
“มันก็ไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไปหรอก”
สิ่งที่ทำให้ตู๋กูเจี้ยนเฉินคาดไม่ถึงคือ เมื่อเย่ห้าวหรานได้ยินคำพูดของเขา กลับยิ้มด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม
“โอ๊ะ? เจ้าสามารถคิดหาหนทางได้หรือ?”ตู๋กูเจี้ยนเฉินมองเย่ห้าวหรานด้วยสายตาที่แปลกใจรอบหนึ่ง ต่อให้จอมยุทธ์มกุฎเทพระดับเก้าคนหนึ่งจะเชี่ยวชาญค่ายกลมากเพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้วผลการฝึกตนก็ต่ำเกินไปอยู่ดี
“ผู้อาวุโสอาจไม่ทราบ ยิ่งเป็นค่ายกลที่ระดับยิ่งสูง เงื่อนไขในการควบคุมก็ยิ่งสูงตามด้วย โดยเฉพาะหากผู้ควบคุมค่ายมิใช่ผู้ที่ชำนาญในค่ายกล ก็ยิ่งต้องใช้อุบายพิเศษถึงจะสามารถควบคุมค่ายกลที่ทรงพลังหนึ่งค่ายได้”
เย่ห้าวหรานพูดอย่างจริงใจ: “ยกตัวอย่างเช่นค่ายโลหิตมารฉกรรจ์นี้ เนื่องจากระดับขั้นของค่ายกลดังกล่าวสูงเกินไป ซับซ้อนมากเกินไป ฉะนั้นการที่จะควบคุมค่ายกลประเภทนี้หนึ่งค่าย มันไม่ใช่สิ่งที่คนสองคนสามารถทำได้อย่างแน่นอน ตลอดจนขณะที่จัดวางค่ายกลดังกล่าว ฐานค่ายของมันก็ไม่ได้มีเพียงจุดเดียวแน่นอน”
หลัวซิวเห็นด้วยกับคำพูดดังกล่าวของเย่ห้าวหรานอย่างยิ่ง เนื่องจากครั้นเมื่อเขาจัดวางค่ายพิทักษ์เขาในหุบเขาสยบปีศาจ ก็เป็นเพราะผลการฝึกตนไม่เพียงพอนี่แหละ จึงได้จัดวางฐานค่ายสามจุด
และในความเป็นจริง สำหรับค่ายกลนั้น ยิ่งมีฐานค่ายน้อยเท่าไหร่ พลานุภาพที่ผนึกรวมกันในค่ายกลก็จะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามเมื่อฐานค่ายยิ่งมาก ก็จะทำให้พลานุภาพของค่ายกลแตกแยก ทำให้ค่ายกลที่เป็นหนึ่งเดียวกันมีช่องโหว่มากยิ่งขึ้น
เย่ห้าวหรานก็เข้าร่วมการจัดวางค่ายพิทักษ์เขาของหุบเขาสยบปีศาจเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ในการออกความเห็นในเรื่องนี้มาก ๆ
เห็นเพียงเย่ห้าวหรานใช้นิ้วชี้ไปบนจุดจุดหนึ่งบนผังค่ายแล้วพูดว่า: “หากข้าคาดเดาไม่ผิดละก็ ค่ายกลดังกล่าวของหุบเขาเฉว่ซ่า อย่างน้อยก็มีฐานค่ายสิบจุดขึ้นไป ซึ่งฐานค่ายเหล่านี้เชื่อมต่อกันโดยตัวต้องห้ามเล็ก ๆ นับหมื่นจุด ทันทีที่เราทลายฐานค่ายใดฐานค่ายหนึ่ง การโคจรของทั้งค่ายก็จะพังทลายลงไป”
“อิงจากความต้องการของจ้าวหุบเขา การเดินทางในครั้งนี้ของเรามาเพื่อช่วยคน แต่ไม่ใช่ทำลายซ่องโจรที่นี่ ดังนั้นเราแค่ต้องผนึกเป้าหมายไปที่ฐานค่ายหนึ่งฐาน แล้วใช้อำนาจทำลายฐานค่ายนั้น ๆ เช่นนั้นเราก็จะสามารถใช้อำนาจบุกเข้าไป ขอแค่ทำการช่วยชีวิตคู่กรณีให้ทันก่อนฝ่ายตรงข้ามจะซ่อมแซมฐานค่ายแล้วเสร็จ ภารกิจในครั้งนี้ก็จะสำเร็จลุล่วง!”
แนวคิดของเย่ห้าวหรานชัดเจนมาก การวิเคราะห์แยกแยะก็มีหลักการ ซึ่งสภาพจิตใจประเภทนี้ก็เป็นคุณสมบัติที่ยอดฝีมือวิถีค่ายคนหนึ่งควรมีเช่นกัน
ตู๋กูเจี้ยนเฉินไม่เข้าใจเรื่องค่ายกล ด้วยเหตุนี้เขาที่ได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกมึนงงไปหมด แต่หลัวซิวกลับเข้าใจแล้ว เนื่องจากวิธีการดังกล่าวของเย่ห้าวหรานก็เหมือนหนทางที่เขาคิดได้ทุกประการเลย
หากไม่มีความมั่นใจที่แน่นอน หลัวซิวคงไม่เปลืองแรงเดินทางมาที่นี่แล้วล่ะ
เย่ห้าวหรานทำการอนุมานต่อ ก่อนจะทำเครื่องหมายลงบนผังค่ายอีกสามจุด ถึงแม้เขาจะคำนวณได้ว่าค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ดังกล่าวมีฐานค่ายไม่ต่ำกว่าสิบจุด แต่ทว่าการที่จะอนุมานตำแหน่งที่แม่นยำของฐานค่ายใหญ่ที่ซับซ้อนเช่นนี้นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด สถานที่สามจุดที่เขาทำเครื่องหมายไว้ เป็นสถานที่ที่เขามั่นใจอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเลือกโจมตีฐานค่ายใด ก็สามารถเลือกหนึ่งในสามจุดที่เขาทำเครื่องหมายไว้บนผังค่าย
“เลือกจุดนี้เถิด!”หลัวซิวใช้นิ้วชี้ไปทางจุดใดจุดหนึ่งบนผังค่าย จากนั้นสายตาเขาก็จ้องมองไปยังทิศทางของหุบเขาเฉว่ซ่า ซึ่งตำแหน่งที่เขาชี้ก็คือตำหนักหลังหนึ่งที่ค่อนข้างใกล้กับจุดศูนย์กลางของหุบเขาเฉว่ซ่า
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็พลิกมือหยิบแหวนเก็บของออกมาให้เย่ห้าวหรานหนึ่งวงแล้วพูด: “ภายในนี้มีวัตถุดิบที่ใช้ในการจัดวางค่าย จัดวางค่ายกลโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเจ้าออกมา”
“จ้าวหุบเขาวางใจได้เลยขอรับ!”เย่ห้าวหรานรีบรับแหวนเก็บของมา จากนั้นเงาร่างก็กระพริบทีหนึ่ง ออกไปตามหาสถานที่ซ่อนเร้นเพื่อจัดวางค่ายกล
อ้างอิงจากข่าวกรองที่อาณากระบี่หวูจี๋ได้รับมา เสิ่นปิงหยูที่ถูกจับกุมตัวไปก็ถูกกักขังอยู่ในหุบเขาเฉว่ซ่าแห่งนี้นี่แหละ
สาเหตุที่ชนเผ่าเฉว่ซ่าจับกุมตัวเสิ่นปิงหยูไปนั้น ย่อมต้องเป็นเพราะรู้ว่าเสิ่นปิงหยูเป็นคนในหุบเขาสยบปีศาจอยู่แล้ว จึงอยากใช้นางเป็นตัวประกันเพื่อมาจัดการหลัวซิว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...