แม้นจะได้เปรียบเรื่องจำนวนคนก็ตาม ทว่าหลังจากผ่านไปเพียงชั่วขณะ จอมยุทธ์ฝั่งเมืองหวูยวนก็ถูกปราบปรามจนหวาดหวั่น
หมอกเลือดที่ระเบิดแตก ชิ้นส่วนร่างกายที่กระจัดกระจายทำให้มีกลิ่นคาวเลือดที่น่าขยะแขยงตลบฟุ้งไปทั่วท้องฟ้า กลางอนัตตาที่ถูกพลังอมตะโจมตีจนแตกสลายยังมีเศษชิ้นส่วนของขลังอาวุธเทพต่าง ๆ ลอยอยู่ด้วย ทำให้ทั้งสนามรบดูได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วง
ซึ่งนี่เป็นเพียงการเข่นฆ่าในขอบเขตคนหลักหมื่นเท่านั้น หากเป็นสนามรบที่มีผู้แข็งแกร่งแห่งยุทธ์หลักแสน ตลอดจนหลักล้าน หลักสิบล้านเข่นฆ่ากัน แล้วมันจะเป็นภาพฉากที่น่าเวทนาและน่ากลัวมากเพียงใดกัน?
แน่นอนอยู่แล้วว่าหลัวซิวก็เคยผ่านสงครามเช่นนั้นมาก่อนเหมือนกัน ทว่ามันกลับแตกต่างจากสนามรบที่แทบจะเป็นการฆ่าล้างเช่นนี้
กำลังรบของกองทัพเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชานักเซียนหลอมจิตไม่ใช่สิ่งที่คนในเมืองหวูยวนสามารถเทียบเคียงได้ ต่อให้ผลการฝึกตนจะอยู่ในแดนเดียวกัน นักรบคนหนึ่งของกองทัพเทพมารก็สามารถต่อกรกับศัตรูสามคนพร้อมกันได้อย่างง่ายดายเลย ยิ่งกว่านั้นคือกองทัพเทพมารอาจเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าด้วย
แม้นจำนวนกองทัพเทพมารขบวนนี้จะมีเพียงห้าพันคน แต่ถ้าเกิดนับรวมกับผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าและนายพลผู้สูงส่งสิบคนนั้นแล้ว แค่อาศัยห้าพันคนนี้ หลัวซิวก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าสามารถกวาดล้างกองทัพนับแสนของเมืองหวูยวนที่ปักหลักอยู่ด้านนอกได้อย่างแน่นอน
การต่อสู้ดำเนินการไปไม่ถึง 15 นาที คนในเมืองหวูยวนก็ถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อก็หนีความตายไม่พ้น
นักรบของกองทัพเทพมารเริ่มเก็บกวาดสนามรบ เก็บแหวนเก็บของรวมไปถึงของขลังอาวุธเทพต่าง ๆ ของเหล่าจอมยุทธ์ที่ตายไปแล้ว แม้ระดับของสมบัติต่าง ๆ จะไม่เหมือนกัน ทว่าหากนำมารวมเข้าด้วยกัน มันก็เป็นทรัพย์สินก้อนหนึ่งที่น่าดูเลยทีเดียว
และมันก็เป็นอย่างที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ด้วย หลังจากกองทัพเทพมารเก็บกวาดสนามรบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดอกผลที่เหล่านักรบได้มาไม่ได้ถูกส่งมายังมือเขาแต่อย่างใด แต่ต่างถูกส่งไปยังมือของผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้า
“นายน้อย ต้องการให้เราช่วยทลายค่ายกลต้องห้ามดังกล่าวหรือไม่?”ไจ๋เฉิงที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสามของผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้ามองไปทางหลัวซิว อมยิ้มพลางถามอย่างเรียบนิ่ง
ค่ายกลต้องห้ามที่เขาหมายถึงย่อมต้องเป็นตัวต้องห้ามที่กลุ่มคนเมืองหวูยวนในเมื่อครู่นี้กำลังโจมตีอยู่แล้ว บนยอดเขาที่อยู่ในตัวต้องห้ามมีวัตถุดิบและต้นยาเซียนต่าง ๆ เยอะมาก
ตัวสำนึกของหลัวซิวได้กวาดสำรวจค่ายกลต้องห้ามที่อยู่รอบยอดเขาดังกล่าวตั้งนานแล้ว พบว่าระดับของค่ายกลต้องห้ามดังกล่าวไม่ต่ำ อย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับผู้สูงส่ง
อย่างไรเสียเมื่อครู่จำนวนคนแปดพันคนในเมืองหวูยวนร่วมมือกันโจมตีอยู่สักพัก ก็ยังทลายไม่ได้เลย หากอาศัยศักยภาพของตัวหลัวซิวเอง เขารู้ตัวเองดีอยู่ว่าตนก็ทำเช่นนั้นไม่ได้
ส่วนการทลายค่ายกลนั้น ผลการฝึกตนในปัจจุบันของเขาต่ำเกินไป ซึ่งยังไม่สามารถทลายตัวต้องห้ามระดับสูงเช่นนี้ได้
“เช่นนั้นก็รบกวนทุกท่านด้วยล่ะ”หลัวซิวพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธ สีหน้าอารมณ์ไม่มีความแปลกประหลาดเลยแม้แต่น้อย
“กางค่าย!”
ไม่ต้องให้ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าลงมือ นายพลระดับผู้สูงส่งสิบคนโบกมือครั้งหนึ่ง เทพมารจำนวนมากที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็พุ่งเบียดเสียดกันเข้ามา ก่อนจะทำการจัดวางค่ายใหญ่หลอมจิตขนาดใหญ่กลางอนัตตาอย่างรวดเร็ว
หลัวซิวได้รับไข่มุกเต๋าที่ผนึกรวมมาจากการตระหนักรู้ทั้งชีวิตของนักเซียนหลอมจิต จึงต้องทราบเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าค่ายใหญ่หลอมจิตนี่ก็เป็นค่ายกลที่เซียนริเริ่มเช่นกัน เมื่อใช้นายพลระดับผู้สูงส่งสิบคนเป็นกำลังหลัก ควบคู่กับเทพมารห้าพันคน เพียงพอที่จะสามารถกระตุ้นพลานุภาพที่เทียบเท่าผู้แกร่งเลิศออกมาได้แล้ว
ภายใต้การกระตุ้นจากนายพลทั้งสิบ พลานุภาพของค่ายใหญ่หลอมจิตก็แย้มบานออกมา รัศมีสีแดงที่ไร้ขอบเขตพรั่งพรู แล้วประกอบเป็นเพลิงอัคคีที่สามารถกลั่นแปรทุกสรรพสิ่ง ภายใต้การกลั่นแปรแผดเผาจากเพลิงอัคคี ม่านแสงของค่ายกลต้องห้ามที่อยู่รอบยอดเขาสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะค่อย ๆ เบาบางลง หม่นหมองลง
หลังจากที่ผ่านไปไม่นานนัก ค่ายกลต้องห้ามก็ถูกทลายทิ้ง แต่คนในกองทัพเทพมารกลับไม่ได้เข้าไปเก็บวัตถุดิบและสมบัติบนยอดเขา
“นายน้อย ของทั้งหมดนี้เป็นของท่านแล้วขอรับ”ผู้บัญชาการสามไจ๋เฉิงเอ่ยปากพูด
หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าพวกต้วนคงและไจ๋เฉิงคิดจะทำอะไรกันแน่ ทว่าเขากลับไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด แต่เป็นการส่ายหน้าแล้วพูดว่า: “ในเมื่อพวกเจ้าเป็นผู้ทลายค่ายกลต้องห้าม ของที่อยู่ภายในย่อมต้องเป็นของพวกเจ้าอยู่แล้ว”
“เหอะ ๆ นายน้อยอย่าล้อเล่นเลยขอรับ ท่านคือนายน้อย ทุกอย่างที่เป็นของเราก็คือของท่าน”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็หัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ ตั้งแต่สถานสาสน์เต๋าหายไปเป็นต้นมา แค่ดูจากลักษณะท่าทีที่คนเหล่านี้ปฏิบัติต่อตัวเอง ก็สามารถดูออกได้แล้วว่าคนเหล่านี้ไม่ได้นำเขาที่เป็นนายน้อยไปใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
หลัวซิวไม่ได้พูดคำพูดเหล่านี้ออกมาต่อหน้า เนื่องจากเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าศักยภาพของตัวเองไม่โดดเด่นอะไรด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าเลย แค่นายพลระดับผู้สูงส่งคนใดคนหนึ่งลงมือ ก็สามารถกำจัดตนทิ้งได้อย่างง่ายดายแล้ว
แต่หลัวซิวก็สามารถสัมผัสได้เช่นกันว่าสาเหตุที่พวกเขาไม่ลงมือนั้น บางทีอาจเป็นเพราะกำลังกังวลในเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”
หลัวซิวไม่ได้บ่ายเบี่ยงต่อ ตัวสำนึกอยู่ในสภาวะที่เฝ้าระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา หกระเหินเดินฟ้าเข้าไปในยอดเขาที่อยู่ด้านบน แล้วโบกมือเก็บวัตถุดิบหลอมอาวุธและต้นยาเซียนต่าง ๆ เข้าไปในแหวนเก็บของ
ในขณะที่หลัวซิวกำลังเก็บวัตถุดิบเหล่านี้อยู่นั้น มีความเยือกเย็นเสี้ยวหนึ่งกระพริบผ่านไปในแววตาของนายพลคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายไจ๋เฉิง
“ผู้บัญชาการ จะ……”นายพลคนดังกล่าวทำท่าใช้มือปาดคอ ดูจากความเยือกเย็นที่เขามองแผ่นหลังหลัวซิวก็ทราบได้แล้วว่าความหมายของท่าทางนี้ของเขาคืออะไร
“หุบปาก เจ้าอยากให้ข้าตายหรือ?”สีหน้าของไจ๋เฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีจิตสังหารแฝงอยู่ในแววตา พลางมองนายพลคนดังกล่าวด้วยสายตาที่เย็นเยือกรอบหนึ่ง
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ หลัวซิวก็หันหน้ากลับมา สายตาจ้องมองไปทางไจ๋เฉิงและนายพลที่อยู่ใต้บังคับบัญชานั่น
สาเหตุที่หลัวซิวมีปฏิกิริยาเช่นนี้นั้น ย่อมไม่ได้เป็นเพราะตัวสำนึกของเขาสัมผัสได้ว่านายพลคนนั้นประสงค์ร้ายลับหลังตน อย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งอยู่ การที่จะปิดกั้นกระแสสัมผัสตัวสำนึกของเขานั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...