มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2910

ภายใต้สภาวะที่ผลการฝึกตนได้รับการยกระดับอย่างรวดเร็ว หลัวซิวรู้สึกแค่ว่าเวลาล่วงเลยไปเพียงชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น ผลการฝึกตนของเขาก็บรรลุจากจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อช่วงกลางขึ้นมาถึงจักรพรรดิเทพช่วงปลายแล้ว

ภายใต้การปิดกั้นจากวิถีเซียนแห่งสถานสาสน์เต๋า ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธไม่ได้จุติลงมาแต่อย่างใด ผลการฝึกตนของเขายังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่เช่นเคย

ต่อมาไม่นานนัก ผลการฝึกตนของเขาก็บรรลุถึงจักรพรรดิเทพขั้นสูง ส่วนพลังวิถีเซียนที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายเขากลับใช้ไปไม่มากนัก หากเขาต้องการละก็ สามารถทลายพันธนาการได้อย่างง่ายดาย แล้วบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อโดยตรงได้เลย หรืออาจจะบรรลุถึงแดนที่สูงกว่านี้ก็เป็นได้

แต่หลัวซิวกลับไม่ทำเช่นนั้น แม้เขาจะมีแดนในอดีตชาติแล้วไม่ต้องพะวงเกี่ยวกับการยกระดับผลการฝึกตน ทว่าท้ายที่สุดแล้วการฝึกยุทธ์ในภพชาตินี้ของเขาก็แตกต่างจากอดีตชาติ เขาไม่อยากทำให้ผลการฝึกตนของตัวเองเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป จนส่งผลให้รากฐานของตัวเองไม่มั่นคง แล้วส่งผลกระทบต่อผลสำเร็จในอนาคต

ดังนั้นเขาจึงระงับอารมณ์ชั่ววูบในการยกระดับผลการฝึกตน ก่อนจะทำการผนึกพลังวิถีเซียนที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายไว้ตรงจุดตันเถียน แล้วกลายเป็นลูกแก้วที่มีแสงสีแดงเป็นประกายระยิบระยับจาง ๆ หนึ่งลูก

เมื่อหลัวซิวลืมตาขึ้นมา จู่ ๆ เขาก็ค้นพบว่าด้านหน้าตัวเองมีเงาร่างยืนอยู่หลายร่าง

“กราบคารวะนายน้อยขอรับ!”

เมื่อชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่เป็นผู้นำเห็นว่าหลัวซิวลืมตาขึ้นมา เขาจึงเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เสียงของเขาสะท้อนเข้าไปในหูทุกคน ก่อนจะชันเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น แล้วคารวะคำนับไปทางหลัวซิว

“กราบคารวะนายน้อย!”

กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของชายหนุ่มรูปงามคนดังกล่าวต่างพากันคุกเข่ากราบ เสียงตะโกนดังลั่นขึ้นมา ดังก้องไปทั่วแผ่นฟ้า

สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวดูงุนงงไปอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นเขาก็เห็นว่าข้างกายของชายหนุ่มรูปงามนั่นยังมีคนอีกหลายคนเลย

ซึ่งในจำนวนคนทั้งหมดมีเฟยเสว่ นักสาสน์เต๋าในด่านที่ห้า รวมไปถึงตี้ขุยในด่านที่หก

“ทุกท่านหมายความว่าอย่างไร?”หลัวซิวเอ่ยปากสอบถาม เขาคาดเดาว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาได้รับการถ่ายทอดสืบสานของนักเซียนหลอมจิต

“นายน้อยได้รับการยอมรับจากนักเซียนหลอมจิต ทั้งหลอมรวมเข้ากับกำลังเซียนหลอมจิต จึงต้องเป็นนายน้อยของเราอยู่แล้วขอรับ”ชายหนุ่มรูปงามที่เป็นผู้นำเอ่ยปากตอบกลับอย่างผ่อนคลาย: “ในกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา เราทั้งหลายล้วนเป็นพี่น้องที่เคยกล่าวคำสาบานว่าจะติดตามนักเซียนหลอมจิต”

ในขณะที่ชายหนุ่มรูปงามพูดอยู่นั้น หลัวซิวก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าร่างกายของพวกเฟยเสว่และตี้ขุยไม่ได้เกิดจากการผนึกรวมกันของแสงเซียนอีกต่อไปแล้ว แต่มีออร่าชีวิตที่แท้จริง มีร่างกายที่แท้จริงแล้ว!

เห็นได้ชัดเจนเลยว่าตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ร่างกายของพวกเขาล้วนอยู่ในสภาวะนอนหลับใหล ซึ่งผสมผสานเข้ากับพลังวิถีเซียนของทั้งสถานสาสน์เต๋า ภายใต้ประสิทธิผลจากพลังแห่งวิถีเซียน ทำให้พวกเขากลายเป็นนักสาสน์เต๋าที่เฝ้าคอยผู้สืบทอดเซียน

ปัจจุบันผู้สืบทอดได้อุบัติขึ้นมาแล้ว ซึ่งภารกิจของพวกเขาก็สำเร็จแล้วเช่นกัน ร่างกายที่นอนหลับใหลจึงฟื้นตื่นขึ้นมาด้วย

“นายน้อย ข้าชื่อต้วนคงขอรับ อดีตเคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชานักเซียนหลอมจิตขอรับ”ชายหนุ่มรูปงามก้าวเดินขึ้นมาแล้วพูด

“นายน้อย ข้าชื่อฉื้อหลง อดีตเคยเป็นผู้บัญชาการรองของกองทัพเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชานักเซียนหลอมจิตขอรับ”ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเกราะสีแดงฉานยิ้มพลางพูด

“นายน้อย ข้า……”

กองทัพเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชานักเซียนหลอมจิตมีผู้บังคับบัญชาทั้งหมดห้าคน เฟยเสว่และตี้ขุยก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ส่วนนักสาสน์เต๋าผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อที่เฝ้าอยู่ในด่านที่ห้านั้น เป็นเพียงร่างผันหนึ่งของเฟยเสว่เท่านั้น

และผลการฝึกตนที่แท้จริงของเฟยเสว่คือผู้แกร่งเลิศ! หรือว่าผู้สูงส่งขั้นสูงนั่นเอง!

ไม่เพียงแค่เฟยเสว่เท่านั้น ยังมีผู้บัญชาการอีกสามคนก็มีผลการฝึกตนอยู่ที่ผู้สูงส่งขั้นสูงเช่นกัน

ส่วนผู้บัญชาการใหญ่อย่างต้วนคงนั้น ยิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า!

นอกจากผู้บัญชาการทั้งห้าคนนี้แล้ว เบื้องล่างของพวกเขายังมีนายพลอีกสิบคน ซึ่งล้วนมีผลการฝึกตนเป็นผู้สูงส่งทุกคน!

พลังอำนาจที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หากมองในมุมโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดในยุคปัจจุบัน มันเป็นเรื่องที่น่าตะลึงงันมากเพียงใด?

เมื่อหลัวซิวทราบผลการฝึกตนของคนเหล่านี้ เขาก็ยืนผงะอยู่กับที่เช่นกัน สภาพจิตใจฮึกเหิม นานมากก็ไม่อาจกลับมาสงบเหมือนเดิมได้

“นายน้อย นี่คือสิ่งที่เซียนมอบให้ท่านขอรับ”

และในเวลานี้เอง ต้วนคงก็เดินมาด้านหน้าหลัวซิว มือทั้งสองข้างกำลังรองกล่องหยกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงแล้วยื่นไปด้านหน้าหลัวซิว

หลัวซิวไม่ได้สงสัยในตัวเขา ยกมือขึ้นไปเปิดกล่องหยกออก ก่อนจะพบว่าภายในกล่องหยกมีของวางอยู่สามชิ้น

เมื่อครู่เขาได้สื่อสารกับปณิธานเงาสะท้อนของนักเซียนหลอมจิตอยู่ในตัวหยั่งรู้แล้ว และนักเซียนหลอมจิตก็เคยบอกเช่นกันว่าเขาได้ทิ้งสมบัติให้ตัวเองสามชิ้น คาดว่าน่าจะเป็นสามชิ้นนี้แหละ

สมบัติที่อยู่ฝั่งซ้ายคือขวดหยกสีแดงฉานหนึ่งใบ บนขวดมีสัญลักษณ์วิถีเซียนที่ถี่ยิบสลักอยู่ ลักษณะภายนอกของขวดหยกประณีตสวยวิจิตร มีขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ

เสี้ยววินาทีที่มือของหลัวซิวได้สัมผัสกับขวดหยกสีแดงนั่น ก็มีข้อมูลหนึ่งถ่ายทอดเข้าไปในตัวหยั่งรู้เขาทันที

ขวดเซียนอัคคีหลอมจิต ภายในมีเซียนอัคคีหลอมจิตผนึกอยู่ ซึ่งสามารถกลั่นทุกสรรพสิ่ง!

มณีวิถีเซียน!

แววตาของหลัวซิวเป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ นี่คือสมบัติที่เซียนทิ้งไว้เชียวนะ มาตรแม้นว่าเป็นอัญมณีดั้งเดิมอย่างหอคอยฮวง ก็ไม่อาจเทียบเคียงกับมันได้

แน่นอนอยู่แล้วว่ามูลค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอัญมณีดั้งเดิมคือมันมีความสามารถในการเจริญเติบโต หากหอคอยฮวงก็สามารถวิวัฒนาการเป็นมณีวิถีเซียนได้เหมือนกันละก็ เช่นนั้นขวดเซียนอัคคีหลอมจิตก็ไม่สามารถเทียบเคียงพลานุภาพกับมันได้อย่างแน่นอน

ทว่าต่อให้ศักยภาพของอัญมณีดั้งเดิมจักยิ่งใหญ่มากเพียงใด หากไม่สามารถบรรลุเป็นภัณฑ์เซียน ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นได้เพียงสมบัติระดับมณีมกุฎเต๋า

หลัวซิวพยายามถ่ายเทพลังแห่งวิถีเซียนดวงหนึ่งเข้าไปในขวดเซียนอัคคีหลอมจิต จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าเซียนอัคคีที่แฝงซ่อนอยู่ในขวดมีท่าทีที่จะลุกโชน พลานุภาพที่แฝงซ่อนอยู่เซียนอัคคีน่าสยดสยองอย่างยิ่ง แต่เมื่อหลัวซิวกระตุ้นมันกลับทำได้ยากลำบากมาก เขาสันนิษฐานว่าหากใช้ผลการฝึกตนทั้งหมดของตัวเองจนแห้งเหือด อย่างมากสุดการที่สามารถกระตุ้นเซียนอัคคีที่อยู่ภายในขวดให้เกิดเป็นเปลวไฟได้นั้น ก็ถือว่าไม่เลวมาก ๆ แล้ว

แม้นบัดนี้จะไม่สามารถใช้งานได้ แต่มูลค่าของสมบัติชิ้นนี้กลับสูงส่งอย่างยิ่ง อนาคตคอยผลการฝึกตนของตัวเองเพิ่มขึ้น มันต้องกลายเป็นอาวุธสังหารชิ้นหนึ่งที่สามารถสร้างภัยคุกคามต่อผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าส่วนมากได้แน่นอน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ