มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2952

แม้จะมีราคาหนึ่งหมื่นหินบรรพไท่ชู แต่ใช่ว่าคนธรรมดาจะซื้อไหว มหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าที่การเงินไม่คล่องตัวนัก ส่วนใหญ่ล้วนซื้อม้วนหยกระดับนี้

ดังนั้น บันทึกแผนที่ในม้วนหยกที่หลัวซิวได้มาม้วนนี้ มีการทำเครื่องหมายเอาไว้ในหลายพื้นที่ ล้วนเหมาะสำหรับการสำรวจของมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้า

พื้นที่ที่อยู่ในระดับต่ำกว่านี้เล็กน้อย ล้วนเหมาะกับการสำรวจของจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดและมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปด ดังนั้นเครื่องหมายที่ถูกทำสัญลักษณ์เอาไว้ในแผนที่ ล้วนมีการแนบคำแนะนำอย่างง่ายเอาไว้

สถานที่ระดับต่ำ แน่นอนว่าหลัวซิวไม่มีทางไป เขาเลือกสถานที่แห่งหนึ่ง ที่เหมาะกับการสำรวจของมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้า อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับสถานที่ใกล้เคียง ก็แปลงร่างเป็นแสงกล จากนั้นก็เหาะไปยังหมู่พสุดาราของซากโบราณสถานเวิ่นเทียน

บนพสุดาราที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่ง หลัวซิวมองเห็นตัวต้องห้ามผืนหนึ่งที่ถูกทำลาย ลายเส้นของวิชาห้ามค่ายกลเหล่านี้ สลักอยู่ห่างจากหน้าดินลึกลงไปหนึ่งหมื่นเมตร ด้านในมีตำหนักอยู่หนึ่งหลัง ของมีค่าล้วนถูกรื้อค้นไปจนหมดสิ้นแล้ว

ดูจากระดับของวิชาห้ามค่ายกล หลัวซิวคาดเดาว่าระดับของตัวต้องห้าม อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้า อีกทั้งระยะเวลาที่ตัวต้องห้ามถูกทำลายไม่เกินห้าปี ดู ๆ ไปแล้วในซากโบราณสถานเวิ่นเทียนแห่งนี้ มีกิ่งโยงพลังอยู่ไม่น้อยจริง ๆ

กิ่งโยงพลังระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าแห่งหนึ่ง สำหรับนักยุทธ์ในระดับจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดและมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดแล้ว ทันทีที่ได้รับมา ก็เพียงพอจะทำให้ผลการฝึกตนของพวกเขา ยกระดับขึ้นถึงสองระดับในเวลาอันรวดเร็ว

ตอนที่หลัวซิวกลับขึ้นมาจากตำหนักที่อยู่ใต้ดินแห่งนี้ สายตาของเขาก็จ้องมองไปยังที่ไกล ๆ ตัวสำนึกของเขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าของนักยุทธ์หลายคน ที่กำลังเข้ามาใกล้สถานที่ที่เขาอยู่

เมื่อเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น หลัวซิวก็เห็นชายหนึ่งหญิงสาม คนที่มีผลการฝึกตนสูงที่สุดในนั้น เป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวสีแทนดูทรงพลัง หากเป็นไปตามคาด น่าจะเป็นยอดฝีมือกลั่นร่างผู้หนึ่ง มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าขั้นสูง

จากนั้นก็ตามมาด้วยผู้หญิงหน้าตางดงาม มีดวงตาที่ใหญ่มาก และขนตาที่ยาวมาก รูปร่างสมส่วน เต็มไปด้วยเสน่ห์ มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าช่วงปลาย

ส่วนอีกสองคนที่เหลือ เป็นเด็กสาวที่มีหน้าตาสะสวย ดูแล้วน่าจะเป็นเด็กสาวที่มีอายุอยู่ในวัยขบเผาะ ราว ๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี มีผลการฝึกตนที่ค่อนข้างต่ำ คนหนึ่งอยู่ในระดับจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดช่วงกลาง ส่วนอีกคนอยู่ในช่วงปลาย

แสงกลทั้งสี่สายเหาะผ่านไปบนท้องฟ้า แน่นอนว่าพวกเขาสังเกตเห็นหลัวซิวที่ยืนอยู่ด้านล่าง ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าหยุดลง แล้วหันมาคารวะหลัวซิว “ข้าหานชู่ คารวะผู้เพื่อยุทธ์”

นี่เป็นเรื่องปกติที่มักทำกันเมื่อเจอคนอื่น ๆ ในซากโบราณสถานเวิ่นเทียน และที่หานชู่สังเกตเห็นหลัวซิว อีกทั้งยังเป็นฝ่ายหยุดลงเพื่อทักทาย นั่นเป็นเพราะเขามองทะลุเข้าไปเห็นผลการฝึกตนของเด็กหนุ่มคนนี้ ที่อยู่ภายใต้ชุดคลุมยาวสีดำ

แม้จะเป็นเด็กหนุ่ม แต่อายุของผู้แข็งแกร่งยากจะตัดสินได้จากรูปลักษณ์ภายนอก คนคนหนึ่งที่ดูเหมือนเด็กหนุ่ม เป็นไปได้ว่าอาจเป็นเฒ่าประหลาดที่มีผลการฝึกตนกว่าแสนล้านปีแล้ว นี่เป็นเรื่องปกติ

หานชู่พเนจรอยู่ในซากโบราณสถานเวิ่นเทียนมาเป็นเวลานาน เขารู้ดีว่า คนที่แม้แต่ผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าขั้นสูงของตน ยังไม่อาจมองออกได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ถึงขั้นว่าอาจเป็นถึงระดับผู้สูงส่งเลยก็เป็นได้

ด้วยเหตุนี้ขึงอยู่ในทีท่าระมัดระวัง หานชู่เป็นฝ่ายหยุดทักทายก่อน เพราะเมื่อก่อนเขาเคยเห็นคนเหาะข้ามศีรษะผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งไป และถูกผู้แข็งแกร่งคนนั้นสังหารจนตายในฝ่ามือเดียว

หลัวซิวสัมผัสได้ถึงท่าทีอ่อนน้อมที่หานชู่มีต่อตนเอง รวมไปถึงความระมัดระวังที่แอบซ่อนอยู่

“ข้าซิวหลัว” หลัวซิวเองก็คารวะกลับ แล้วพูดขึ้นเบา ๆ หนึ่งคำ

เขาไม่ได้พูดชื่อจริงของตนเองออกมา แต่ก็ขี้เกียจจะคิดชื่ออื่น ดังนั้นจึงชื่อตอนที่ไปแสวงหาประสบการณ์ภายนอกเมื่อสมัยก่อน

ชื่อซิวหลัวนี้ ใครดูก็รู้ว่าเป็นนามแฝง แต่หานชู่เองก็ไม่ได้สนใจอะไร จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “สหาย เจ้าเองก็จะไปที่วังเวิ่นเทียนเหมือนกันหรือ ?”

“วังเวิ่นเทียน ?”

สีหน้าของหลัวซิวเรียบเฉย แต่ในใจกลับสั่นเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้จักวังเวิ่นเทียนแห่งนี้ ได้ยินว่าเป็นพื้นที่ใจกลางของสำนักเวิ่นเทียนในสมัยโบราณ มีคนเคยพบวัสดุชั้นยอดที่นั่น และมีตำนานว่าวังเวิ่นเทียนเป็นวังเซียนแห่งหนึ่ง เป็นวังของเซียนในสมัยโบราณ !

ถ้าหากตำนานนี้เป็นความจริง หลัวซิวคาดว่าสำนักเวิ่นเทียนนี้ น่าจะเป็นกองกำลังในยุคประเทศเซียน อย่างไรเสีย หลังจากที่ยุคประเทศเซียนจบสิ้นลง ก็แทบไม่มีเบาะแสของเซียนอีก

แต่วังเวิ่นเทียนแห่งนี้ ถือเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างอันตรายในซากโบราณสถานเวิ่นเทียน โดยรอบมีวิชาห้ามค่ายกลที่แข็งแกร่งอยู่เป็นจำนวนมาก ซ้ำยังมีอสูรกายอาศัยอยู่อีกเป็นจำนวนมาก อสูรกายเหล่านี้ล้วนมีสายเลือดที่ไม่ธรรมดา แตกต่างกันไปหลายชนิด บนตัวมีวัสดุล้ำค่ามากมายที่ใช้กลั่นยาและกลั่นอาวุธได้ เพียงแต่อสูรกายเหล่านี้ล้วนแข็งแกร่ง จึงไม่ง่ายที่จะสังหาร

แต่สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกกระหายเลือดจริง ๆ ก็คือ เป็นไปได้ว่าในวังเวิ่นเทียน อาจมีสิ่งสืบทอดที่เซียนหลงเหลือไว้ !

“ขออภัยที่ข้าขอถามตามตรง หากวังเวิ่นเทียนเป็นซากโบราณแห่งหนึ่ง ที่เซียนหลงเหลือเอาไว้ในสมัยโบราณจริง จะต้องมีผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง รวมไปถึงประมุขเต๋าและมกุฎเต๋าจำนวนมากไปสำรวจ ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของเรา หากไปก็เท่ากับไปรนหาที่ตายเสียเปล่า ๆ” หลัวซิวพูดขึ้นพลางส่ายหัว

เขาเคยสัมผัสกับมกุฎเต๋าหวูจี๋ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่า บรรดามกุฎเต๋าเหล่านั้นกระหายอยากเป็นเซียนแค่ไหน ทุกอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับเซียนในยุคโบราณ พวกเขาไม่มีทางพลาดเด็ดขาด ในเมื่อซากโบราณสถานเวิ่นเทียนแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ว่ากันตามเหตุผลแล้ว วังเวิ่นเทียนแห่งนั้นคงถูกบรรดามกุฎเต๋าสำรวจนับตั้งไม่ถ้วนนานแล้ว

“เหอะ ๆ สหายพูดผิดแล้ว หากข้าเดาไม่ผิด สหายคงมาถึงซากโบราณสถานเวิ่นเทียนได้เพียงไม่นานสินะ ?” หานชู่พูดขึ้นมาในทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ