“สหายหวาง !”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายโบกมือ หานชู่ก็รีบเดินเข้าไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที จากนั้นก็ยกมือขึ้นคารวะ
“เหอะ ๆ ทำไมสามีภรรยาคู่นี้เพิ่งมาล่ะ ?” ชายวัยกลางคนเองก็เดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม
“มีธุระเล็กน้อยจึงทำให้ล่าช้า ข้าจะแนะนำให้สหายหวางรู้จัก สองคนนี้คือเยี่ยนเอ๋อร์และเสว่เอ๋อร์ ลูกสาวของข้ากับเสี่ยวซู มาทักทายท่านลุงหวางของพวกเจ้าเร็วเข้า” หานชู่รีบเอ่ยแนะนำทันที
“หลานคารวะท่านลุงหวาง” หานเยี่ยนและหานเสว่เดินเข้าไปทำความเคารพอย่างมีมารยาท
“คนนี้คือเพื่อนที่ข้าเชื้อเชิญมา ชื่อว่าซิวหลัว สหายซิว นี่คือสหายหวาง หวางฉวนหมิงที่ข้าพูดถึง”
“คารวะสหายหวาง” หลัวซิวยกมือขึ้นคำนับ
แต่หวางฉวนหมิงกลับขมวดคิ้ว หันมองหานชู่แล้วพูดว่า : “สหายหาน เจ้าพาเพื่อนมาด้วย ทำไมไม่บอกข้าล่วงหน้าสักคำ ? สมาชิกในกลุ่มของเราเต็มแล้ว มีที่เหลือไว้สำหรับเจ้ากับศิษย์น้องซู แล้วก็หลานสาวทั้งสองเท่านั้น”
เมื่อหวางฉวนหมิงพูดออกมาเช่นนี้ ความหมายย่อมปรากฏชัดเจนโดยไม่ต้องพูด หานชู่มีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า เขาคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“สหายหวาง คือว่า......”
หานชู่หันมองหลัวซิวอย่างลำบากใจเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ฉวนหมิง อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย”
ตอนนี้เอง ชายหนุ่มสวมชุดแพรที่อยู่ในกลุ่ม ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมา
“ศิษย์พี่วางใจเถอะ จะไปเดี่ยวนี้แหละ”
หวางฉวนหมิงขานรับ จากนั้นก็หันมองหลัวซิวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดว่า : “มีบางสิ่งที่ข้าไม่เจ้าเป็นต้องพูด เจ้าก็คงจะเข้าใจ เจ้าว่าใช่หรือไม่ ?”
หานชู่อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่หลัวซิวโบกมือห้ามเอาไว้ เขามองออกแล้วว่าหวางฉวนหมิงผู้นี้ ถือว่าอาจารย์ของเขาที่เป็นผู้สูงส่งอยู่ที่นี่ด้วย จึงไม่คิดจะเห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด จากท่าทางอวดเบ่งและบีบบังคับตนเช่นนี้ ก็พอจะมองออกได้
“ในเมื่อสมาชิกในกลุ่มของเจ้าเต็มแล้ว ข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่ต้องเข้าร่วม ลาก่อนสหายหาน”
หลัวซิวเองไม่คนคนที่ชอบเยิ่นเย้อ เข้าหันไปพูดกับหานชู่เพียงประโยคเดียว ส่วนหวางฉวนหมิงผู้นั้น หลัวซิวกลับไม่หันมองเขาเลยสักนิด ขี้เกียจที่จะสนใจ
แม้จะบอกลา แต่ทางที่หลัวซิวเดินไปนั้น ไม่ใช่ทางที่จะออกไปจากที่นี่ แต่กลับเดินเข้าหาวังเวิ่นเทียนที่อยู่ตรงหน้า
ประตูใหญ่ของวังเวิ่นเทียนเปิดอยู่ และตรงประตูก็ไม่มีวิชาห้ามค่ายกลใด ๆ ทุกคนล้วนสามารถเข้าไปได้
แต่ตอนนี้กลุ่มที่มีผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งทั้งสามเป็นหัวหน้ากลุ่ม กำลังรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ต่อให้มีคนคิดจะเข้าไปในวังเวิ่นเทียน ก็ต้องรอให้คนเหล่านี้เข้าไปเสียก่อน อีกทั้งในใจของผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ต่างก็คิดเช่นนี้
ดังนั้น ตอนที่พวกเขาเห็นหลัวซิวเดินเข้าไปในวังเวิ่นเทียน โดยที่ไม่เห็นทุกคนที่อยู่ที่นี่อยู่ในสายตา ทุกคนก็แสดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที เจ้าหนุ่มนี่ ก็บังอาจต่อหน้าผู้สูงส่งอาวุโสทั้งสามเช่นนี้เชียวหรือ ?
“สหายหาน ดูเหมือนเพื่อนที่เจ้าพามาคนนี้ จะไม่เข้าใจกฎเกณฑ์เท่าไรนัก”
หวางฉวนหมิงหันมองหานชู่อย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่สนว่าเจ้านี่จะใช่เพื่อนเจ้าหรือไม่ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เข้ามายุ่ง เพราะเจ้าคนบังอาจนี่ต้องตายแน่นอน !”
“ผู้น้อย เจ้าใจกล้าไม่เบาเลยนะ”
ในขณะที่หวางฉวนหมิงพูดอยู่นั้น ก็มีน้ำเสียงที่แหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้นมา คนที่พูดก็คือ ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งคนหนึ่ง ที่เป็นหนึ่งในหัวหน้ากลุ่ม
นี่คือผู้เฒ่าที่สวมชุดคลุมยาวดำทั้งตัว รอบเหี่ยวย่นบนใบหน้าเหมือนกับเปลือกของต้นไม้ที่มีอายุ มือทั้งสองข้างแห้งเหี่ยวเหมือนตีนไก่ที่ขาดน้ำ มีรูปร่างเตี้ย ความสูงประมาณหนึ่งเมตรครึ่งเท่านั้น
แต่ผู้เฒ่าตัวผอมแห้งที่ดูไม่สะดุดตาคนนี้ คือจอมมกุฎหุนเตา ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งที่ทุกคนต่างหวาดกลัว !
ดูจากสมญานามแล้ว ดูเหมือนจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ถนัดในการใช้ดาบ แต่อันที่จริงแล้ว ที่เขาได้สมญานามจอมมกุฎหุนเตามาครองนั้น เป็นเพราะเขาเป็นยอดฝีมือที่ถนัดในการโจมตีด้วยวิญญาณ !
ได้ยินมาว่า พลังอมตะโจมตีด้วยวิญญาณของจอมมกุฎหุนเตา คือพลังอมตะหุนเตา ตัวสำนึกวิญญาณแปลงเป็นดาบเทพ กำจัดเทพและวิญญาณ ฆ่าคนโดยไร้ร่องรอย
ในฐานะที่เป็นผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิเช่นเดียวกัน อันที่จริงแล้วผู้สูงส่งอีกสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็เกรงกลัวจอมมกุฎหุนเตาผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง สาเหตุหลักก็เพราะ วิธีการของการโจมตีด้วยวิญญาณนี้
เมื่อเห็นว่าคนที่พูดคือจอมมกุฎหุนเตา แววตาของคนจำนวนไม่น้อยที่หันมองหลัวซิว ล้วนเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เพราะคนที่เคยได้ยินชื่อของจอมมกุฎหุนเตาต่างรู้ว่า จอมมกุฎผู้นี้อารมณ์ร้อน ทันทีที่ขยับจะต้องฆ่าคนอย่างแน่นอน
ด้วยนิสัยของจอมมกุฎหุนเตา มีคนกล้าบังอาจต่อหน้าเขาเช่นนี้ ถือเป็นพฤติกรรมรนหาที่ตายอย่างแท้จริง
“เจ้าเรียกใครว่าผู้น้อย ?”
ทว่า สิ่งที่ทำให้ทุกคนยิ่งคาดไม่ถึงก็คือ เด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวดำผู้นี้ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ยิ่งใหญ่ย่างจอมมกุฎหุนเตา กลับกล้าตอบกลับเช่นนี้
บรรยากาศในลานเงียบสงัดขึ้นมาทันที ราวกับทุกคนต่างเดาออกว่า เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร
จอมมกุฎหุนเตาผู้นั้นเองก็ผงะไปครู่หนึ่งเช่นกัน จากนั้นแววตาที่ขุ่นมัวทั้งสองข้าง ก็แสดงความดุดันออกมา พร้อมทั้งหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาด “เจ้าหนูคนนี้น่าสนใจไม่เบา......เหอะ ๆ......”
ตอนที่ได้ยินน้ำเสียงที่หัวเราะอย่างแปลกประหลาดของจอมมกุฎหุนเตา คนจำนวนไม่น้อยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา คนที่รู้จักจอมมกุฎหุนเตาต่างรู้ดีว่า เมื่อเขาส่งเสียงหัวเราะเช่นนี้ออกมา นั่นหมายความว่าจอมมกุฎหุนเตากำลังจะฆ่าคนแล้ว
“หัวเราะได้น่าเกลียดยิ่งนัก เป็นยังร้องได้เพราะกว่าเจ้าเสียอีก”
สาเหตุที่ผู้แข็งแกร่งกลั่นวิญญาณ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัวได้นั้น เป็นเพราะพวกเขาเหล่านี้ มีความสามารถในการโจมตีด้วยวิญญาณหยั่งรู้ โดยเฉพาะตอนที่ใช้พลังอมตะ ทันทีที่วิญญาณหยั่งรู้ถูกโจมตี การใช้งานของพลังอมตะก็จะถูกขัดจังหวะ ถึงขั้นอาจทำให้ตนเองถูกการโจมตีสะท้อนกลับได้
ดังนั้น ปกติแล้วผู้แข็งแกร่งที่บังคับการกลั่นวิญญาณได้ ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งกลั่นร่าง ที่ถนัดในการต่อสู้ระยะประชิด แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างจะต้องต้านทานการโจมตีของวิญญาณโดยไม่ตายได้ และเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ได้สำเร็จ
“ชีปะเขย่าไม้......”
นี่เป็นสี่คำสุดท้ายที่จอมมกุฎหุนเตาได้ยินในชีวิต นอกจากนี้ก็เป็นเสียงของเลือดเนื้อที่ถูกฟัน และเลือดสดที่สาดกระเซ็น
หลังจากตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวผ่านการเปลี่ยนแปลงแล้ว เดิมที่ก็สามารถต้านทานการโจมตีของวิญญาณได้โดยไม่ต้องใส่ใจอยู่แล้ว เมื่อประกอบกับตัวสำนึกของเขา ที่เทียบได้กับผู้สูงส่งช่วงปลาย ด้วยผลการฝึกตนระดับผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิของจอมมกุฎหุนเตา พลังอมตะหุนเตาที่ฟันเข้าไปในตัววิญญาณ ก็เหมือนกับวัวดินปั้นที่จมทะเล ไม่เกิดเสียงใด ๆขึ้นแม้แต่น้อย
ดังนั้น พลังอมตะที่อยู่ในมือของหลัวซิว จึงม่รู้สึกว่าได้รับผลกระทบใดเลยแม้แต่น้อย กระบี่เซียนที่เกิดจากการรวมตัวของแสงเซียนฟันลงไป ก็ทำให้ร่างกายของจอมมกุฎหุนเตาขาดเป็นสองท่อน เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นออกมาในทันที
“ฟิ้ว !”
แสงสีดำพุ่งออกมาจากศพ กลายเป็นแสงกลพยายามเหาะหนี แต่กลับถูกหลัวซิวยกมือขึ้นคว้าไว้ได้ และถูกดวงอัคคีไร้ลักษณ์ที่อยู่ในฝ่ามือเผาไหม้
แสงสีดำนั้น ที่แท้ก็เป็นช่องจิตช่องหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงระดับเทพมารขึ้นไป ถึงแม้กายเนื้อจะถูกทำลาย ขอเพียงช่องจิตยังอยู่ ก็ไม่มีวันตาย โดยเฉพาะยิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งด้วยแล้ว
ตอนที่ดาบทะยานเทียนตัดขาดร่างกายของอีกฝ่าย ไม่ได้ทำให้ช่องจิตที่ถูกซ่อนอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ถูกทำลายไปด้วย
“อย่าฆ่า......”
จอมมกุฎหุนเตาเพิ่งเอ่ยปากอ้อนวอน เสียงก็ขาดหายไปทันที ห้วงความคิดวิญญาณที่ถูกซ่อนอยู่ในช่องจิต ถูกดวงอัคคีไร้ลักษณ์เผาทำลายในทันที เหลือเพียงแค่ช่องจิตที่บรรจุวิญญาณบริสุทธิ์อยู่
ช่องจิตของผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิ แม้จะกลั่นแปร ด้วยพลังตัวสำนึกของหลัวซิวในตอนนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย แต่พลังวิญญาณที่ได้จากการกลั่นวิญญาณของผู้แข็งแกร่งค่อนข้างบริสุทธิ์ และค่อนข้างมีราคา ดังนั้นเขาจึงโยนเข้าไปในแหวนเก็บของอย่างไม่ใส่ใจ
ในขณะเดียวกันนี้ หลัวซิวก็หยิบแหวนเก็บของของจอมมกุฎหุนเตาขึ้นมา และหยิบป้ายบัญชาการออกมาจากด้านในหนึ่งแผ่น
ด้านหนึ่งของป้ายบัญชาการ เขียนตัวอักษร “ถาม” เอาไว้ ส่วนอีกด้าน เขียนตัวอักษร “สวรรค์” เอาไว้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีเครื่องรางนี้อยู่ในครอบครอง จึงไม่ถูกตัวต้องห้ามที่อยู่ด้านนอกเกาะเทียนวู่ขัดขวาง
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้น ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งผู้หนึ่ง ที่ถนัดในการโจมตีด้วยวิญญาณ ทำให้ทุกคนต้องรู้สึกหวาดกลัว กลับต้องถูกฆ่าตายเช่นนี้
ผู้สูงส่งที่เหลืออีกสองคน เข้าไปยืนรวมกลุ่มกันอยู่โดยปริยาย เห็นได้ชัดว่า พวกเรารู้ถึงความแข็งแกร่งของชายชุดคลุมยาวสีดำคนนี้ดี อีกฝ่ายสามารถสังหารจอมมกุฎหุนเตาได้อย่างง่ายดาย นั่นแสดงว่าสามารถกำจัดพวกเขาได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องสงสัยเช่นกัน
โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าหวางฉวนหมิงคนนั้น ตอนนี้ร่างกายของเขาสั่นเทาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ สีหน้าซีดเผือดถึงขีดสุด ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เพราะเขานึกถึงท่าทางของตนเองที่ปฏิบัติต่อชายชุดคลุมยาวดำเมื่อครู่ หากอีกฝ่ายคิดจะฆ่าตนเองจริง ดูเหมือนว่าแม้แต่อาจารย์ของเขาก็คงไม่อาจช่วยเขาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...