“ข้าว่าพวกเราเจรจากันได้”
หลังจากสังหารผู้สูงส่งหุนเตาแล้ว สายตาของหลัวซิวก็จับจ้องไปทางผู้สูงส่งอีกสองคนที่เหลือ ส่วนพวกปลายแถวที่ไม่ควรค่าให้พูดถึงอย่างหวางฉวนหมิง เขาขี้เกียจจะสนใจ
“ข้าจอมมกุฎเชียงฉู่ คารวะจอมมกุฎซิวหลัว” ชายสวมชุดยาวสีทองหันมาคารวะหลัวซิว
“ข้าจอมมกุฎคูมู่ คารวะจอมมกุฎซิวหลัว” ชายผมหงอกสวมชุดนักพรตสีฟ้าอีกคนหนึ่งก็หันมาคารวะเช่นเดียวกัน
ตอนนี้ไม่มีใครกล้าเรียกอีกฝ่ายว่าผู้น้อย โดยรู้เท่าไม่ถึงการอย่างที่จอมมกุฎหุนเตาทำ อีกทั้งด้วยความสามารถอันน่ากลัวที่หลัวซิวแสดงออกมา ที่สามารถสังหารผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิได้ในชั่วพริบตา ทำให้จอมมกุฎเชียงฉู่และคูมู่ทั้งสอง แม้แต่ผู้เพื่อนยุทธ์ก็ไม่กล้าเรียก แต่กลับเรียกว่าจอมมกุฎ
สำหรับเรื่องนี้ หลัวซิวไม่คิดเช่นนี้ มหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ดี จอมมกุฎก็ช่าง ล้วนเป็นเพียงคำเรียกขานเท่านั้น ไม่ว่าชื่อเสียงจะโด่งดังเพียงใด ในโลกของผู้ฝึกตนวิถียุทธ์ สิ่งที่พอจะนำมาใช้วัดกันได้จริง ๆ ก็คือความสามารถ !
ในบรรดาเทพมาร มหาจักรพรรดิยุทธ์ ผู้สูงส่ง และประมุขเต๋า ส่วนมีชื่อเสียงที่โด่งดัง แต่ถึงแม้จะเป็นเซียนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาเซียนทั้งหลาย ก็สามารถกวาดล้างทั้งหมดได้ในชั่วพริบตา โดยอาศัยเพียงการโบกมือครั้งเดียว
“เมื่อครู่ข้าได้ยินสิ่งที่จอมมกุฎหุนเตาพูด ดูเหมือนเครื่องรางป้ายบัญชาการประเภทนี้ จะมีอยู่สามชิ้นใช่หรือไม่ ?” หลัวซิวค่อย ๆ เอ่ยปากพูดขึ้น
ตอนที่เขาแสดงความสามารถที่เทียบเท่าผู้สูงส่งออกมา จอมมกุฎหุนเตาก็คิดว่าเขาอยู่ในแดนผู้สูงส่ง ดังนั้นจึงได้อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “นี่เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากเจ้าเองก็อยู่ในแดนผู้สูงส่ง แล้วเจ้าเข้ามาได้อย่างไร”
เนื่องจากหลัวซิวได้ยินคำพูดประโยคนี้ จึงสรุปว่าป้ายบัญชาการมีสามชิ้น มิเช่นนั้นจอมมกุฎหุนเตาไม่มีทางพูดเช่นนี้ ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้แล้ว นั่นย่อมมั่นใจได้ว่าเครื่องรางมีเพียงสามชิ้น
“เหอะ ๆ ผู้เพื่อนยุทธ์พูดถูกต้อง เครื่องรางแบบนี้มีเพียงแค่สามชิ้น อีกทั้งเป็นสิ่งที่พวกเราสามยังร่วมค้นพบซากโบราณหนึ่งแห่ง หลังจากเปิดซากโบราณนั้นแล้ว ก็พบว่บัญชาเซียนเวิ่นเทียนมีเพียงแค่สามชิ้น” จอมมกุฎเชียงฉู่กล่าวอธิบาย “แน่นอนว่า อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะมีคนอื่น ๆ พบเจอป้ายบัญชาการในซากโบราณ มิเช่นนั้นก็ยากจะอธิบายได้ว่า จอมมกุฎหลัวซิวเข้ามาได้อย่างไร”
ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็สามารถสรุปจากข้อมูลที่อีกฝ่ายเปิดเผยออกมาได้อย่างรวดเร็ว หากทั้งสามคนนี้หาซากโบราณเจอด้วยตนเอง และหบัญชาเซียนเวิ่นเทียนมาได้ จากนั้นพวกเข้าก็เดินทางมายังเกาะเทียนวู่ในทันที เช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่า จะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งคนอื่น ๆ ปล้นบัญชาเซียนไปได้
แต่หลัวซิวรู้สึกว่าเหตุผลนี้ค่อนข้างฝืนธรรมชาติ ดังนั้นเขาจึงตัดสินผล โดยเอนเอียงไปทาง จอมมกุฎเชียงฉู่กำลังพูดโกหก !
ทว่าหลัวซิวกลับไม่เปิดโปง และไม่ได้ลงมือในทันที ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีจุดประสงค์ใดกันแน่ ขอเพียงเข้าไปในวังเวิ่นเทียนได้ ทุกอย่างก็จะเผยออกมาให้เห็นเอง หากฉีกหน้ากันตรง ๆ ผลที่ได้อาจตรงกันข้าม
อันที่จริงแล้ว สำหรับผู้แข็งแกร่งที่สามารถบรรลุถึงแดนผู้สูงส่งเหล่านี้ หลัวซิวก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ในใจเล็กน้อย อย่างไรเสียก็ไม่มีใครรับรองได้ว่า ผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่งเหล่านี้ จะมีสมบัติอันร้ายกาจเป็นไพ่ไม้ตายหรือไม่ ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็น หลัวซิวก็ไม่อยากกระทบกระทั่งกับผู้แข็งแกร่งในระดับนี้ง่าย ๆ
ในโลกนักยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งยิ่งมีผลการฝึกตนที่แข็งแกร่งมากเท่าไร ยิ่งลงมือน้อยมากเท่านั้น และก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ เพราะคนที่ยิ่งแข็งแกร่ง ก็จะยิ่งมีวิธีการมากขึ้น ไพ่ไม้ตายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ส่วนเหตุผลที่หลัวซิวสังหารผู้สูงส่งหุนเตา แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีน้ำเสียงที่ไม่ไพเราะ แต่เป็นเพราะเขามีความเชื่อมั่นว่า สามารถกำจัดผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิด้วยการโจมตีในระยะประชิดอย่างฉับพลันได้
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าจอมมกุฎเชียงฉู่และจอมมกุฎคูมู่มีการป้องกันตัวแล้ว เขาจึงไม่อาจโจมตีโดยฉับพลันได้อีก
ผลของการฝืนลงมือ ต่อให้เขาสามารถกำจัดทั้งสองคนได้ ก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ดังนั้นหลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว หลัวซิวจึงล้มเลิกความคิดที่จะลงมือ และหันไปพูดด้วยรอยยิ้ม : “ข้าได้บัญชาเซียนเวิ่นเทียนแบบนี้มาชิ้นหนึ่งจริง ๆ”
“เหอะๆ หากจอมมกุฎหลัวซิวไม่ถือสาแล้วละก็ ให้ท่านมาแทนที่จอมมกุฎหุนเตา แล้วพวกเราก็ร่วมมือกันเข้าไปสำรวจเขตต้องห้ามวังเวิ่นเทียน หากสามารถค้นพบสมบัติกิ่งโยงพลังอะไรได้ ข้ากับผู้เพื่อนยุทธ์เชียงฉู่ก็จะให้ท่านมีสิทธิ์เลือกก่อน ดีหรือไม่ ?” จอมมกุฎคูมู่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ?”
หลัวซิวพูดขึ้นด้วยความเกรงใจ แต่ใบหน้าของเขากลับแสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงออกถึงความเกรงใจเลยสักนิด
มุมปากของจอมมกุฎทั้งสองกระตุกเล็กน้อย จากนั้นจึงหันมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างส่งสายตาแสดงความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยไม่ได้พูดอะไรอีก
ดังนั้น หลังจากนั้นกลุ่มคนทั้งหมดจึงเดิเข้าไปในวังเวิ่นเทียน กลุ่มคนที่แต่เดิมมีอยู่สามสิบกว่าคน ตอนนี้เหลืออยู่เพียงแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น เมื่อครู่หลัวซิวสังหารจอมมกุฎหุนเตา ส่วนที่ที่ติดตามจอมมกุฎหุนเตามา แล้วไม่ถูกตรามหาหัตถ์ราชาเซียนฟาดตาย ต่างก็เลือกที่จะหลบหนีไปในทันที
หวางฉวนหมิงเองก็อยากหนี แต่ทำได้เพียงบากหน้าเดินตามเข้าไป ในใจรู้สึกกล่าวโทษหานชู่อยู่ไม่น้อย เขารู้สึกว่า หากไม่ใช่เพราะหานชู่พาชายชุดคลุมยาวดำคนนี้มา ตนเองคงไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่เช่นนี้
วังเวิ่นเทียนไม่ใช่ตำหนักหลังหนึ่ง แต่เป็นกลุ่มตำหนักทั้งหมดนี้ ทุกตำหนักในที่นี้ล้วนเชื่อมต่อกัน ยิ่งลึกเข้าไปด้านใน ทางเดินยิ่งมีทางแยกมากขึ้น วิชาห้ามค่ายกลชนิดต่าง ๆ ก็มีมากขึ้นตามไปด้วย
ไม่รู้ว่าซากโบราณสถานเวิ่นเทียนตั้งอยู่มานานเท่าไรแล้ว รอบนอกของซากโบราณสถานเวิ่นเทียนแห่งนี้ ถูกสำรวจไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ดังนั้นระหว่างทาง กลุ่มคนทั้งกลุ่มจึงไม่ล่าช้าแม้แต่น้อย เดินตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าขั้นสูงจำนวนเท่าไรที่เคยมาที่นี่ ดังนั้น ขอบเขตจำกัดที่มหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าสามารถสำรวจได้นั้น เรียกว่าเป็นรอบนอกของวังเวิ่นเทียน
และพื้นที่ที่อยู่ลึกเข้าไป ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าขั้นสูงเหล่านั้นไม่กล้าย่างกรายเข้าไป ถูกเรียกว่าเขตต้องห้าม
หานชู่เป็นคนมีเหตุผล ต่างจากภรรยาของเขา และมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกี่ยวกับกฎของการอยู่รอดบนโลกใบนี้มากกว่าคนส่วนใหญ่ และก็เป็นส่วนที่หลัวซิวรู้สึกชื่นชมเขา
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ หลัวซิวเองก็นั่งขัดสมาธิลงบนที่ว่าง และหลับตาทำสมาธิ เหมือนกับจอมมกุฎทั้งสอง
สามวันให้หลัง ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นบนม่านแสงของค่ายกลตรงประตูทางเข้า จากนั้นก็ตามมาด้วยร่างของคนหลายคนที่เดินออกมา
ตอนเข้าไปมีเจ็ดคน แต่ตอนออกมาเหลือเพียงแค่สามคนเท่านั้น
“เสว่เอ๋อร์ พี่สาวของเจ้าล่ะ ?”
ซูเกอวิ่งตรงเข้าไป ท่ามกลางคนสามคนนี้ นางเห็นหานเสว่ลูกสาวของตน แต่กลับไม่เห็นหานเยี่ยน
เมื่อเห็นแม่ของตนเอง หานเสว่ก็อดไม่ได้ที่จะกระโจนใส่อ้อมกอดของนาง แล้วร้องไห้ออกมาในทันที
หานเยี่ยนตายแล้ว และยังมีอีกสามคนที่ตายอยู่ด้านใน ในห้องมีสมบัติ แต่สมบัติทุกชิ้นล้วนมีวิชาห้ามค่ายกล เมื่อแตะต้องเข้าโดยไม่ระวัง หากตนเองระวังไม่มากพอ ความสามารถไม่แข็งแกร่งมากพอ ก็ต้องตาย
ซูเกอร้องไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้า ส่วนหานชู่ยืนตบไหล่ภรรยาอยู่ข้าง ๆ ลูบผมยาวของเสว่เอ๋อร์ แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่กลับฝืนไม่แสดงอารมณ์ออกมา
ฝึกตนวิถียุทธ์ ทำให้เทพมาร มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหนือคนธรรมดาอย่างยิ่ง เห็นคนธรรมดาเป็นเหมือนมด แต่ในขณะเดียวกัน สภาพแวดล้อมที่พวกเขาต้องอาศัยอยู่ ก็โหดร้ายยิ่งกว่า
จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดคนหนึ่ง หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะมีอายุขัยยืนยาวได้ถึงหมื่นล้านปี แต่คนที่สามารถใช้ชีวิตได้จนถึงวันสิ้นอายุขัย กลับแทบไม่มีอยู่ บ้างก็ตายขณะที่ต่อสู้กับคน บ้างก็ตกจากฟ้าตอนที่ตามหาสมบัติกิ่งโยงพลัง ถึงแม้เราจะสามารถหลบเลี่ยงอันตรายทั้งหมดได้ แต่อันตรายก็จะเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาเราเอา
ฝึกตนวิถียุทธ์ เป็นกระบวนการชีวิตที่ต้องพยายามอย่างไม่หยุดหย่อน หากวันหนึ่งวันใดที่เราย่ำอยู่ที่เดิม โดยไม่อาจพัฒนาไปข้างหน้าได้ ก็เท่ากับเราอยู่ห่างจากจุดจบของชีวิตไม่ไกลแล้ว
พวกของหานเสว่ทั้งสาม หยิบสมบัติที่แต่ละคนหาได้จากในห้องออกมา สมบัติมีทั้งหมดสี่ชิ้น เหล็กเซียนสีเงินหนึ่งชิ้น ยาที่บรรจุอยู่ในกล่องหยกฝีมือประณีตหนึ่งเม็ด ขนนกสีดำที่มีลายเส้นของเปลวไฟหนึ่งเส้น และยังมีฮู้สีขาวล้วนอีกหนึ่งแผ่น
เมื่อเผชิญหน้ากับจอมมกุฎทั้งสาม พวกเขาไม่กล้าแอบซ่อนสมบัติเลยสักนิด เพราะไม่ว่าจะเป็นหลัวซิวหรือจอมมกุฎอีกสองคน ด้วยตัวสำนึกที่แข็งแกร่ง ล้วนสามารถตรวจสอบแหวนเก็บของของพวกเขาแต่ละคนได้อย่างง่ายดาย รวมถึงปริภูมิที่อยู่ภายในของขลัง ที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...