“จอมมกุฎซิวหลัว ตามที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้า ของสี่ชิ้นนี้ เจ้าเลือกก่อนเถอะ”
สมบัติทั้งสี่ชิ้นวางอยู่ตรงหน้าหลัวซิวและจอมมกุฎอีกสองคน จอมมกุฎคูมู่เอ่ยปากพูดขึ้นมา
หลัวซิวเองก็ไม่เกรงใจ เขายื่นมือออกไปหยิบแร่สีเงินชิ้นนั้นขึ้นมา ฝ่ามือกำแน่นขึ้นเล็กน้อย สายตาเผยความประหลาดใจออกมา
เป็นที่รู้กันดีว่า ผลการฝึกตนเคล็ดเซียนแปรเก้าของเขา บรรลุถึงระดับแปรเจ็ดแล้ว ร่างกายเทียบเท่ากับอาวุธเทพผู้สูงส่ง พลังของร่างเนื้อจะแข็งแกร่งขนาดไหน ? อาศัยเพียงแค่พลังของร่างเนื้อ เขาก็สามารถระเบิดดาวเคราะห์ได้อย่างง่ายดาย !
แต่แร่สีเงินเช่นนี้ กลับทำให้เขารู้สึกถึงความหนักเล็กน้อยได้ ลำพังแค่ความหนักนี้ ก็พอจะทำให้รู้สึกตกใจได้แล้ว
“นี่เป็นวัสดุที่หายสาบสูญไปนานแล้วในยุคนี้”
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงออร่าของความโบราณบนแร่ชิ้นนี้ ความโบราณลักษณะนี้ จะต้องยาวนานกว่ายุคไท่ชูอย่างแน่นอน
จักรวาลผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง ตั้งแต่ยุคประเทศเซียน มาจนถึงยุคต้าเหยียน จนถึงยุคหลังคือยุคไท่ชู เหมือนกับสัตว์บางชนิดที่สูญพันธุ์ไป มีวัสดุและสมบัติที่พิเศษบางอย่าง สาบสูญไปท่ามกลางประวัติศาสตร์ เพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในจักรวาล
หลัวซิวคาดว่าน่าจะเป็นวัสดุในการหลอมอาวุธ อีกทั้งยังอยู่ในระดับสูง แต่เขากลับไม่ต้องการ
เขามีหอคอยฮวง เข็มทิศสาสน์เต๋า แล้วยังมีขวดเซียนอัคคีหลอมจิตอีก วิชาห้ามค่ายกลที่ให้เข้าไปได้เพียงจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด ต่อให้มีสมบัติกิ่งโยงพลังอยู่ คาดว่าก็คงไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงนัก
ดังนั้นหลัวซิวจึงครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้ววางแร่เหล็กเซียนชิ้นนั้นกลับลงไปที่เดิม
จากนั้นหลัวซิวก็เปิดกล่องหยก เห็นยาที่บรรจุอยู่ด้านใน ยามีเพียงแค่หนึ่งเม็ด กลมและประณีต ถึงขั้นว่ามีท่วงเซียนหมุนเวียนอยู่จาง ๆ จนเกือบทำให้หลัวซิวเข้าใจผิดว่าเป็นยาเซียน
แต่หากดูอย่างละเอียดจะพบว่า ที่จริงแล้วเป็นเพียงยาเซียนที่อยู่ในระดับวัฏจักรแปด ส่วนที่มีท่วงเซียนหมุนเวียนอยู่เล็กน้อยนั้น คงเป็นเพราะยาเม็ดนี้ มีเซียนคนหนึ่งลงมือกลั่นออกมาด้วยตนเอง
เป็นถึงเซียน แต่กลับกลั่นยาที่ระดับต่ำเช่นนี้ ถึงแม้จะทำให้รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็เป็นเรื่องที่ยังพอรับได้
ทว่าท่วงเซียนนี้ กลับทำให้ยาเซียนวัฏจักรแปดเม็ดนี้ไม่ธรรมดาอีกต่อไป ฤทธิ์พิเศษของมัน แม้แต่ยาเซียนวัฏจักรเก้าจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งยาเซียนวัฏจักรสิบก็ไม่อาจเทียบได้
แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว นี่ก็เป็นเพียงแค่ยาเซียนวัฏจักรแปดเท่านั้น
ผ่านไปสักพัก หลัวซิวก็ตัดสินใจเลือก เขาหยิบขนนกสีดำที่มีลายเส้นเปลวไฟไป
ส่วนยันต์สีขาวบริสุทธิ์ผืนนั้น ด้านบนมีท่วงเซียนหลงเหลืออยู่เล็กน้อย อีกทั้งยังแผ่ซ่านออร่าชีวีอันเข้มข้นออกมา หากเป็นไปตามคาด น่าจะเป็นยันต์ที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บจำนวนมากได้
หากคิดจะสร้างยันต์เช่นนี้ จะต้องเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญค่ายกลเต๋าเริงชีวีจึงจะทำได้ ด้วยเหตุนี้ยันต์รักษาที่ออกฤทธิ์ไม่ธรรมดาผืนนี้ ที่จริงแล้วล้ำค่าและหายากยิ่งกว่ายารักษาเสียอีก
ส่วนที่เลือกขนนกเส้นนั้น ไม่ใช่เพราะขนนกเส้นนี้มีมูลค่ามากที่สุดในบรรดาสมบัติทั้งสี่ชิ้น แต่เป็นเพราะขนนกเส้นนี้ แฝงไปด้วยกำลังเซียนคุณลักษณะไฟ
แม้กำลังเซียนนี้จะอ่อนแออย่างยิ่ง แต่กลับเป็นกำลังเซียนอย่างแท้จริง ดังนั้นหลัวซิวจึงคาดเดาว่า น่าจะเป็นขนของอสูรปีกตนหนึ่ง ที่บรรลุถึงแดนเซียนแล้ว
สมบัติเช่นนี้ สามารถกลั่นเป็นของขลังคุณลักษณะไฟได้ และสามารถให้อัคคีชีวีดูดรับกำลังเซียนที่อ่อนแอนั้นเพื่อยกระดับได้
หากกำลังเซียนแข็งแกร่งเกินไป ด้วยผลการฝึกตนของหลัวซิว ก็ไม่อาจทำให้ดวงอัคคีไร้ลักษณ์ดูดรับได้ แต่เป็นเพราะกำลังเซียนนี้อ่อนกำลังพอดี จึงทำให้ดวงอัคคีไร้ลักษณ์สามารถดูดรับได้ หากเป็นไปตามคาด น่าจะยกระดับได้หนึ่งระดับ
จากนั้นจอมมกุฎคูมู่และจอมมกุฎเชียงฉู่ต่างก็เลือกสมบัติของตนเอง สุดท้ายเหลือแร่สีเงินอยู่หนึ่งชิ้น
“พวกเรามีกันสามคน แต่สมบัติมีสี่ชิ้น ไม่ทราบว่าจอมมกุฎซิวหลัวคิดว่าควรแบ่งอย่างไรดี ?” จอมมกุฎคูมู่โยนคำถามนี้ให้กับหลัวซิว
ถึงแม้สมบัติเหล่านี้สมุนของพวกเขาจะเป็นคนนำออกมา แต่จอมมกุฎทั้งสองกลับไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง ทั้งหมดเป็นเพราะความสามารถที่แข็งแกร่งของหลัวซิว ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวได้
เมื่อเห็นจอมมกุฎทั้งสามนั่งแบ่งสมบัติกัน ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ถึงขั้นว่า มีบางคนรู้สึกว่านี่คือเรื่องที่สมเหตุสมผล เป็นผลดีและข้อได้เปรียบของการมีความสามารถที่แข็งแกร่ง
หลัวซิวหันมองครอบครัวของหานชู่ที่กำลังอยู่ในอาการโศกเศร้า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ ๆ จึงนึกถึงพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของตนในชาตินี้ขึ้นมา
แม้นั่นจะเป็นเรื่องเกิดขึ้นมานานมากแล้ว พ่อแม่ที่ไม่มีพรสวรรค์ด้านหารฝึกตน ก็สูญสลายกลายเป็นดินไปเสียนานแล้ว แต่สิ่งพื้นฐานอย่างความรัก ถือว่ายังคงมีน้ำหนักอย่างยิ่งในใจของหลัวซิว เขาไม่อาจทำตัวใจแข็งไร้ความรู้สึกอย่างเช่นนักยุทธ์จำนวนมากได้
การเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจภายใต้สถานการณ์ที่สามารถควบคุมได้ เหตุการณ์เช่นนี้ สามัญสำนึกของหลัวซิวยังอนุญาตให้เกิดขึ้นได้
ดังนั้น เขาจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า : “ในเมื่อของเหล่านี้ เป็นของที่ผู้น้อยเหล่านั้นแลกมาด้วยชีวิต ในฐานะที่เราทั้งสามเป็นผู้อาวุโส อย่างน้อยก็ควรแสดงน้ำใจบ้างใช่หรือไม่ ?”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวยกมือขึ้นโบก แหวนเก็บของเจ็ดชิ้นก็ลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นจึงพูดว่า : “คนที่เข้าไปในห้องที่มีวิชาห้ามค่ายกลมีทั้งสิ้นเจ็ดคน ไม่ว่าจะตายอยู่ด้านใน หรือว่ารอดชีวิตกลับมา ล้วนมีส่วนแบ่ง”
จอมมกุฎคูมู่หันมองหลัวซิวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “จอมมกุฎซิวหลัวไม่รู้หรือ ? คนจำนวนมากต่างรู้จักประตูแห่งความเป็นความตายของเขตต้องห้ามเวิ่นเทียนแห่งนี้”
ในซากโบราณสถานเวิ่นเทียน ขอเพียงมีผลการฝึกตนที่อยู่ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าขั้นกลางขึ้นไป ส่วนใหญ่ไม่มีใครที่ไม่เคยมายังวังเวิ่นเทียนและเกาะเทียนวู่ ต่อให้เป็นคนที่ไม่เคยมา ก็ย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องจำนวนมากเกี่ยวกับวังเวิ่นเทียนและเกาะเทียนวู่ ดังนั้นเรื่องของประตูแห่งความเป็นความตาย สำหรับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าแล้ว ถือเป็นความรู้พื้นฐานทั่วไป
แต่จอมมกุฎซิวหลัวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ กลับไม่รู้อะไรเลยสักนิด สิ่งนี้ทำให้จอมมกุฎคูมู่และจอมมกุฎเชียงฉู่มั่นใจว่า จอมมกุฎหลัวซิวผู้นี้ น่าจะเพิ่งมาถึงซากโบราณสถานเวิ่นเทียนได้เพียงไม่นาน อีกทั้งยังไม่เคยเดินทางมาที่นี่มาก่อน
“ข้าเพิ่งมาซากโบราณสถานเวิ่นเทียนเป็นครั้งแรก ย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน” หลัวซิวตอบกลับอย่างสงบ
จอมมกุฎทั้งสองตกตะลึงเล็กน้อย พวกเขาคิดไม่ถึงว่า หลัวซิวจะเป็นฝ่ายยอมรับเสียเองว่าตนนั้นเป็นมือใหม่ หรือว่าเขาไม่กลัวถูกวางหลุมพรางหรือ ?
ในเมื่อจอมมกุฎคูมู่และเชียงฉู่ทั้งสองมาถึงที่นี่แล้ว ย่อมรู้เรื่องราวมาบ้าง อาศัยความคุ้นเคยที่พวกเขามีต่อวังเวิ่นเทียน หากต้องการวางกับดักคนที่ไม่เคยมาที่นี่ อีกทั้งยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลยสักนิด นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ยากอะไรเลย
ใช่ว่าคนที่มีผลการฝึกตนยิ่งสูงจะยิ่งฉลาด อย่างน้อยก็ในด้านสติปัญญาและการวางแผน จอมมกุฎเชียงฉู่ถือได้ว่าเป็นเพียงพวกที่มีนิสัยบุ่มบ่าม ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับจอมมกุฎคูมู่เลยสักนิด
จอมมกุฎคูมู่คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งออก จอมมกุฎซิวหลัวผู้นี้ กล้าพูดว่าตนเองไม่รู้จักที่นี่เลยสักนิดออกมาได้อย่างเปิดเผย นั่นเห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องมีที่พึ่ง จึงไม่กลัวว่าตนเองกับจอมมกุฎเชียงฉู่จะเล่นลูกไม้เลยสักนิด
“เขามีความมั่นใจจริง ๆ หรือแค่แสร้งวางมาดเท่านั้น ?” จอมมกุฎคูมู่คาดเดาไม่ออก
ตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ ตัวนำสึกของหลัวซิวได้เข้าไปสำรวจแล้ว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ประตูทองก็คือประตูแห่งความเป็นแน่นอน ส่วนประตูสีดำที่ดูมืดมนบานนั้น แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นประตูแห่งความตาย
ประตูทองแห่งความเป็น แผ่ซ่านออร่าชีวีอันเข้มข้นออกมา ม่านแสงค่ายกลสีทองที่ผนึกอยู่โดยรอบ ก็เต็มไปด้วยคุณลักษณะของการมีชีวิต คล้ายกับพลังแห่งชิงเทียนของหนึ่งในสิบสองแรงเต๋าสวรรค์
ส่วนประตูแห่งความตายสีดำนั้นตรงข้ามกัน แผ่ซ่านออร่าแห่งความตาย ประตูที่ดำสนิทและมืดมนเหมือนปากของสัตว์ร้ายที่กำลังอ้าอยู่ ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้
“ปกติแล้วพวกเราล้วนต้องเลือกประตูแห่งความเป็นสีทอง เพราะวิชาห้ามค่ายกลนี้ มีพลังในการป้องกันเท่านั้น ด้วยผลการฝึกตนของพวกเรา ขอเพียงใช้เวลาแค่ชั่วก้านธูป ก็สามารถเปิดทางเข้านี้ได้แล้ว”
“แต่ถ้าหากเลือกประตูแห่งความตายสีดำ การโจมตีของวิชาห้ามค่ายกลคุณลักษณะแห่งความตายนั้นแข็งแรงมาก หลังจากมีคนตายไปหลายคน ก็ไม่มีใครกล้าลองอีก”
จอมมกุฎคูมู่และเชียงฉู่เองก็ไม่เคยมาที่วังเวิ่นเทียน แต่กลับรู้เรื่องราวของที่นี่จำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าทุ่มเทให้กับด้านข่าวกรองอย่างเต็มที่
“ไม่เคยมีใครบุกเข้าไปในประตูสีดำมาก่อน เพราะคนที่เคยมาที่นี่ ล้วนมีผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้า จอมมกุฎอย่างเราสามคนร่วมมือกันก็ยังไม่แน่ว่าจะบุกเข้าไปได้ ?” จอมมกุฎเชียงฉู่ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีหอกยาวสีม่วงปรากฏขึ้นในมือ และเดินตรงเข้าไปยังประตูสีดำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...