มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2958

ในชาตินี้ เรียกได้ว่าหลัวซิวเองก็พบเห็นอะไรมามาก แต่อัคคีนิรันกาลมาวางอยู่ตรงหน้ามากมายขนาดนี้ หากจะบอกว่าไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ก็คงเป็นการหลอกตัวเองอย่างแน่นอน

แต่ตอนที่หลัวซิวสงบจิตใจลงได้ หัวใจของเขาก็ต้องเย็นชาไปกว่าครึ่ง เพราะตอนที่เขาลองเก็บตะเกียงหนึ่งดวง กลับพบว่าโดยรอบของตะเกียงทุกดวงบนทางเดิน ล้วนมีวิชาห้ามค่ายกลปกป้องอยู่

“เจ้าบ้าเอ๊ย งกขนาดนี้เชียว ?”

เมื่อครู่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี แต่สีหน้าของหลัวซิวในตอนนี้ กลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ราวกับมีความแค้นครั้งใหญ่

ตอนนี้เขาสาปแช่งก่นด่านายท่านแห่งวังเวิ่นเทียนอยู่ในใจ ในเมื่อเจ้าร่ำรวยและมีอำนาจถึงขนาดวางอัคคีนิรันกาลเอาไว้ที่นี่ได้มากมายเช่นนี้ แล้วทำไมยังต้องทิ้งตัวต้องห้ามเอาไว้ไม่ให้คนเอาไปได้อีกล่ะ ?

หลัวซิวไม่กล้าดูถูกตัวต้องห้ามของที่นี่ เพราะสัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่า โดยรอบของตะเกียงที่มีอัคคีนิรันกาลอยู่นี้ จะต้องมีของที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้อย่างแน่นอน

แม้จะหมดหนทางนำอัคคีนิรันกาลจากที่นี่ไปได้ แต่หลัวซิวก็ไม่ได้คิดติดพัน ในเมื่อแม้แต่สมบัติระดับอัคคีนิรันกาล ยังทำได้เพียงวางเอาไว้เพื่อเป็นตะเกียงอยู่ที่นี่ เช่นนั้น ด้านในของวังเวิ่นเทียนหลังนี้ ยังจะมีสมบัติที่น่าตกใจอะไรเก็บอยู่อีกนะ ?

ตอนนี้หลัวซิวเริ่มเชื่อในตำนานที่กล่าวว่า อาจมีเซียนอาศัยอยู่ในวังเวิ่นเทียนแห่งนี้ เพราะต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋า ก็ไม่มีทางมั่งคั่งถึงขนาดใช้อัคคีนิรันกาลมาทำเป็นไส้ตะเกียงได้

ตัวสำนึกแผ่ขยายออกมา หลงัจากสัมผัสได้ว่าด้านหน้าไม่มีอันตราย หลัวซิวก็เริ่มเดินตรงไปด้านหน้าตามเส้นทางนี้

ไม่รู้ว่าเดินตามทางมานานเท่าไร มุมปากของหลัวซิวกระตุกไม่หยุด เพราะตลอดทางที่ผ่านมา เขาเห็นอัคคีนิรันกาลอย่างน้อยหนึ่งร้อยดวงแล้ว

ผ่านไปพักใหญ่ หลัวซิวก็มองเห็นห้องหนึ่งห้องตั้งอยู่ตรงทางเดินด้านหน้า รอบห้องไม่มีตัวต้องห้าม เขาใช้ตัวสำนึกสอดส่องดูอย่างง่ายดาย และมองดเห็นของจำนวนมาก

หลัวซิวเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป แม้ตัวสำนึกจะมองเห็นตั้งแต่แรกแล้ว แต่ตอนที่เขาเปิดประตูบานนี้ออก ก็ยังรู้สึกตะลึงกับของที่อยู่ข้างในอยู่ดี

ในห้องนี้สะอาดเป็นอย่างยิ่ง สิ่งแรกที่เห็นคือโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็ก ด้านบนมีม้วนหยกวางอยู่สามม้วน จากนั้นก็มีชั้นวางหนึ่งชั้น ด้านบนจัดวางขวดหยกที่บรรจุยาเอาไว้ ข้าง ๆ ชั้นวางเป็นแท่นหินหนึ่งแท่น ด้านบนมีของขลังวางอยู่หนึ่งชิ้น

ในอีกมุมหนึ่งของห้อง มีวัสดุชั้นยอดวางกองอยู่ ของเหล่านี้มีระดับสูงมาก ล้วนเป็นสมบัติระดับประมุขเต๋า !

เพียงแต่สิ่งของเหล่านี้ ตอนนี้หลัวซิวยังไม่จำเป็นต้องใช้ ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เขาสนใจมากที่สุด กลับเป็นไข่มุกเต๋ากองหนึ่งที่วางอยู่ด้านข้าง !

จำนวนของไข่มุกเต๋าเหล่านี้ มากกว่าที่ได้มาตอนสังหารผู้สูงส่งอัมพรเทวมากนัก ถึงขั้นว่า เมื่อรวมกับไข่มุกเต๋าที่เขาชิงมาได้ หลังจากที่สังหารประมุขเต๋าด้วยสถานะมนุษย์อมตะ ก็ไม่มากเท่ากับที่เห็นอยู่ตอนนี้

เขากวาดสายตาดูอย่างหยาบ ๆ จำนวนของไข่มุกเต๋าเหล่านี้มีนับล้าน มีพลังดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ไหลเวียน ทำให้ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยพลังออร่าที่บริสุทธิ์

แต่หลัวซิวกลับไม่ได้บุ่มบ่าม เขาเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะหนังสือตัวเล็กก่อน จากนั้นจึงหยิบม้วนหยกม้วนแรกที่อยู่ทางด้านซ้ายขึ้นมา

“เป็นเช่นนี้นี่เอง......”

สิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนหยก ไม่ใช่วรยุทธ์วิถีเซียนอะไรทั้งสิ้น และไม่ใช่วิชาอาถรรพณ์พลังอมตะที่ร้ายกาจอะไรทั้งนั้น

จากข้อมูลที่ทิ้งไว้ในม้วนหยก นายท่านแห่งวังเวิ่นเทียน นำของสืบทอดของตนเองเก็บเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหมู่ตำหนักนี้ เพราะนักยุทธ์ระดับผู้สูงส่งขึ้นไป ส่วนใหญ่จะมีผลการฝึกตนวิถีเต๋าดั้งเดิมอยู่ในแดนสำเร็จน้อยเป็นอย่างต่ำ เมื่อวรยุทธ์ของตนเองเกือบคงที่ ก็จะมีความยืดหยุ่นที่ไม่สูงแล้ว

ดังนั้นนายท่านแห่งวังเวิ่นเทียนจึงตั้งวิชาห้ามค่ายกลขึ้นที่นี่ เพื่อให้นักยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับผู้สูงส่งเท่านั้นที่เข้ามาได้

แต่ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้า อย่างมากก็มาได้ไกลถึงแค่ประตูแห่งความเป็นความตายนี้เท่านั้น ดังนั้นนายท่านแห่งวังเวิ่นเทียน จึงทิ้งคำสั่งเซียนเอาไว้สามม้วน หากถือครองคำสั่งเซียนได้ ก็จะไม่ถูกวิชาห้ามค่ายกลขัดขวาง สามารถเข้าไปในวังเวิ่นเทียน และฝ่าฟันตัวต้องห้ามที่อยู่ด้านหลังประตูแห่งความเป็นความตายได้

แต่ถึงแม้จะคว้าคำสั่งเซียนมาครองได้ แต่ก็มีเพียงผลการฝึกตนระดับผู้สูงส่งเท่านั้นที่เข้ามาได้ หากเป็นประมุขเต๋า ต่อให้ได้คำสั่งเซียนมา ก็ไม่มีทางเข้าไปในวังเวิ่นเทียนได้

อีกทั้งจากคำบรรยายในม้วนหยก หากเลือกประตูแห่งความเป็น จากประตูแห่งความเป็นความตายสองบาน ก็ไม่มีทางได้ของสืบทอดใด ๆ ไปทั้งสิ้น อยากมากก็ได้เพียงแค่สมบัติธรรมดาเชิงสัญลักษณ์จำนวนหนึ่ง มีเพียงผู้ที่มีความสามารถอันแข็งแกร่ง และฝ่าเข้าไปในประตูแห่งความตายได้เท่านั้น ที่จะมีโอกาสได้รับวิชาของนายท่านแห่งวังเวิ่นเทียน

นายท่านแห่งวังเวิ่นเทียนชื่อว่าเทียนเวิ่น เป็นเซียนชั้นฟ้าผู้หนึ่ง !

แดนเซียน มีการแบ่งแยกระหว่างคนบนฟ้ากับบนพื้นดิน มนุษย์อมตะอ่อนแอที่สุด เซียนชั้นฟ้าแข็งแกร่งที่สุด เป็นรองเพียงราชาเซียน !

“ดูเหมือนว่าหุนเตา คูมู่รวมถึงเชียงฉู่ทั้งสามคนนับว่ามีโชคไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ขาดความสามารถไปเล็กน้อย”

บัญชาเซียนเวิ่นเทียนมีอยู่เพียงแค่สามชิ้น แต่กลับถูกพวกเขาทั้งสามคนหาเจอได้ นับว่าเป็นโชคอย่างยิ่ง แต่ความสามารถของพวกเขา หากคิดจะฝ่าเข้ามาในประตูแห่งความตายแล้วละก็ ยังนับว่าห่างไกลนัก

ห้องที่หลัวซิวอยู่นี้ เป็นรางวัลที่ได้รับหลังจากฝ่าเข้ามาในประตูแห่งความตาย ก่อนที่บัญชาเซียนเวิ่นเทียนจะปรากฏขึ้น ระดับความแข็งแกร่งสูงสุดที่จะเข้ามาในวังเวิ่นเทียนได้ คือมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าขั้นสูง

ก้าวแรกที่นักเซียนเทียนเวิ่นทิ้งของสืบทอดเอาไว้ที่นี่ ก็คือต้องการให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าคนหนึ่งฝ่าประตูแห่งความตายเข้ามา และมาพบม้วนหยกม้วนแรกให้ห้องห้องนี้ จากนั้นก้าวที่สองก็คือ ไปตามหาบัญชาเซียนเวิ่นเทียน หากเป็นคนที่มีวาสนาเป็นศิษย์อาจารย์กับนักเซียนเทียนเวิ่นจริง หลังจากได้รับบัญชาเซียนเวิ่นเทียน และฝึกตนจนมีความสามารถในระดับประมุขเต๋าช่วงปลายแล้ว ก็จะสามารถทดลองฝ่าตัวต้องห้ามม่านลำแสงสีทองได้

เซียนชั้นฟ้า แม้จะอยู่ในบรรดาเซียนก็นับว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว วิชาสืบทอดที่ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ทิ้งเอาไว้ ย่อมไม่มีทางได้มาง่ายขนาดนั้นอย่างแน่นอน

แต่หลัวซิวเองก็พอใจมากแล้ว ได้ไข่มุกเต๋ามามากมายขนาดนี้ ประกอบกับรากเซียนน้ำไฟที่เขามีอยู่ ทำให้เขามั่นใจอย่างยิ่งว่า เขาจะสามารถฝ่าฟันกฎเกณฑ์แดนใหญ่ และบรรลุถึงแดนผู้สูงส่งได้

เขามีคำสั่งเซียนอยู่ในครอบครอง อย่างมากก็รอให้อนาคต มีความสามารถที่เพียงพอเสียก่อน แล้วค่อยมาใหม่อีกครั้ง อย่างไรเสียก็มีวิชาห้ามค่ายกลของนักเซียนเทียนเวิ่นอยู่ที่นี่ ของที่อยู่ที่นี่ก็ไม่มีวันหนีไปไหนอย่างแน่นอน

จะบรรลุถึงแดนผู้สูงส่งได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญต่อหลัวซิวอย่างยิ่ง เพราะเขามีเรื่องอีกมากต้องทำ เรื่องสำคัญอันดับแรกคือต้องให้ผลการฝึกตนของตนเองบรรลุถึงผู้สูงส่ง มิเช่นนั้นหากมีความสามารถไม่พอ เขาก็ไม่มีความมั่นใจเท่าไรนัก

ย้อนกลับมาทางเดิม ตอนที่เดินผ่านตะเกียงที่ใช้อัคคีนิรันกาลทำเป็นไส้ หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะเลียปาก หากได้อัคคีนิรันกาลไปสักดวงแล้วละก็ อัคคีชีวีไร้ลักษณ์ของเขา ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาสมบัติอื่นเพื่อมายกระดับเปลวอัคคีชีวีอีกแล้ว และสามารถยกระดับไปถึงชั้นยอดได้อย่างง่ายดาย

ระดับของอัคคีชีวีแบ่งได้ตามสี สอดคล้องกับสีสัน แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง

จนกระทั่งถึงแดนเทพมารระดับเก้า เมื่อตัดบรรดาพันธุไฟพรสวรรค์ที่มีคุณลักษณะพิเศษออกไป อัคคีชีวีที่เกิดจากการผนึกรวมทั้งหมดของนักยุทธ์จะเป็นสีแดง เปลวไฟสีส้มสอดคล้องกับราชาเทพวัฏจักรห้า เปลวไฟสีเหลืองสอดคล้องกับมกุฎเทพวัฏจักรหก เปลวไฟสีเขียวสอดคล้องกับจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด เปลวไฟสีน้ำเงินสอดคล้องกับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปด เปลวไฟสีครามสอดคล้องกับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้า เปลวไฟสีม่วงสอดคล้องกับแดนผู้สูงส่ง

หลังจากที่อัคคีชีวีกลายเป็นสีเข้มจัดแล้ว ก็จะกลายเป็นเปลวไฟสีดำ ถึงตอนนั้น อัคคีชีวีก็จะบรรลุถึงลำดับชั้นยอดสุด มีเพียงการใช้สมุนไพรเพิ่มพลังบางอย่าง มาช่วยในการยกระดับ จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น กลายเป็นอัคคีเต๋า หรืออัคคีชีวีเต๋า หรือที่ถูกเรียกว่าไฟของประมุขเต๋านั่นเอง

แต่อัคคีชีวี ไม่เหมือนกับอัคคีพรสวรรค์ที่กำเนิดมาจากฟ้าดิน ระดับของอัคคีพรสวรรค์ ปกติแล้วจะถูกกำหนดตายตัวมาตั้งแต่เกิด แม้จะยกระดับได้ แต่ความยืดหยุ่นไม่อาจเทียบเท่าอัคคีชีวีที่นักยุทธ์ผนึกรวมออกมาเอง

ยกตัวอย่างเช่นอัคคัเทพซิวหลัวที่หลัวซิวใช้ในสมัยก่อน ซึ่งเกิดมาจากการกลืนกินและหลอมรวมไฟหลายชนิด แต่มีความยืดหยุ่นน้อย ยกระดับถึงอัคคีจักรพรรดิวัฏจักรเก้านับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว ศักยภาพไม่สูงเพียงพอถึงระดับไฟของผู้สูงส่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นไฟเต๋า

ดังนั้นหลัวซิวจึงเลือกที่จะผนึกรวมอัคคีชีวี ต่อไปหากเขากลายเป็นเซียนได้จริง หลังจากอัคคีชีวีของเขากลายเป็นอัคคีเซียนแล้ว เขาก็จะสามารถกลั่นยาเซียนและกลั่นภัณฑ์เซียนได้เองแล้ว

เซียนหลอมจิต เป็นผู้แข็งแกร่งที่แปลงอัคคีชีวีเป็นอัคคีเซียน ดังนั้นเขาขึงสามารถหลอมรวมธรรมเวชกาลล้นเข้าภายใน และสร้างพลังอมตะหลอมจิตออกมาได้

ดังนั้นความโลภที่หลัวซิวมีต่ออัคคีนิรันกาลเป็นสิ่งที่เข้าใจได้อย่างง่ายดาย แต่เขากลับไม่มีความสามารถที่จะคว้ามันมาได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ