มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2959

ตอนที่หลัวซิวเดินกลับออกมาทางเดิมจากประตูแห่งความตาย จู่ ๆ ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่า

จากนั้น เขาก็เห็นจอมมกุฎเชียงฉู่ และในมือของอีกฝ่ายก็ถือหอกยาวสีม่วงอยู่ หอกนั้นแทงตรงเข้ามาที่ห้วงจักรของเขา

เหมือนกับที่หลัวซิวอ่านเจอในม้วนหยกที่อยู่ในห้องห้องนั้นไม่มีผิด จอมมกุฎคูมู่และเชียงฉู่ทั้งสอง ไม่ได้อะไรออกมาจากด้านหลังของประตูแห่งความเป็นจริง ๆ อีกทั้ง หลังประตูแห่งความเป็นยังมีวิชาห้ามค่ายกลอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้บรรดาสมุนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าเหล่านั้นของเขา บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย

ดังนั้นเมื่อจอมมกุฎทั้งสองคนเดินไปถึงสุดทางของประตูแห่งความเป็น จึงกลับออกมาอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่เห็นหลัวซิว

ดังนั้นจอมมกุฎทั้งสองจึงคาดเดาเอาไว้สองอย่าง นั่นคือหากจอมมกุฎหลัวซิวไม่ได้เข้าไปในประตูแห่งความตาย ก็คงจะจากไปแล้ว

แต่พวกเขาให้น้ำหนักกับการคาดเดาแรกมากกว่า ดังนั้นทั้งสองจึงดักซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ ๆ ประตูแห่งความตาย หากรออยู่ระยะเวลาหนึ่งแล้วอีกฝ่ายยังไม่ออกมา นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว หรือไม่ก็อาจตายอยู่ด้านใน

แต่ถ้าหากอีกฝ่ายออกมา พวกเขาก็จะลงมือโจมตีทันที ภายใต้การคำนวณของหวูซิน พวกเขาไม่เชื่อว่าสองคนร่วมมือกันจะเอาชนะอีกฝ่ายที่มีอยู่เพียงคนเดียวไม่ได้

ดังนั้น ตอนที่หลัวซิวออกมาจากประตูแห่งความตาย จอมมกุฎเชียงฉู่ก็เริ่มลงมือเป็นคนแรก

ผู้ที่พเนจรอยู่ในโลกนักยุทธ์มาหลายปี อีกทั้งยังฝึกตนจนถึงแดนนี้ได้อย่างหลัวซิว ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือสภาพจิตใจล้วนไม่ต้องพูดถึง แม้จะเป็นเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับการซุ่มโจมตี ก็สามารถรักษาความสงบเอาไว้ได้ อีกทั้งยังตอบสนองและโจมตีกลับได้อย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ ตอนที่หลัวซิวสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่ใกล้เข้ามา เขาก็ได้เสกเข็มทิศสาสน์เต๋าออกมาเรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกัน ก็โบกมือฟาดตรามหาหัตถ์ราชาเซียนออกไปด้วย

เกิดเสียงดังอึกทึก หอกยาวของจอมมกุฎเชียงฉู่กับเข็มทิศสาสน์เต๋าปะทะกัน ต่อให้หอกนี้ของเขาจะมีพลังมหาศาล แต่กลับไม่อาจทิ้งร่องรอยเอาไว้บนเข็มทิศได้เลยแม้แต่น้อย กลับเป็นตัวเขาเองที่ถูกพลังของเข็มทิศโจมตีกลับ จนตนเองนั้นแทบจะกระอักเลือด

หลังจากเข็มทิศสาสน์เต๋าถูกหลัวซิวกลั่นแปรตัวต้องห้ามสองชั้น ก็กลายเป็นสมบัติที่บรรลุถึงระดับประมุขเต๋าแล้ว เพราะเป็นสมบัติเซียนอมตะที่ถือกำเนิดมาจากฟ้าดิน ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้เข็มทิศสาสน์เต๋าเป็นสมบัติที่มีระดับเท่าเทียมกับหอคอยฮวงแล้ว

หอคอยฮวงสะดุดตาเกินไป ดังนั้นน้อยครั้งมากที่หลัวซิวจะนำออกมาใช้ ถึงแม้จะได้หอคอยฮวงมานาน แต่เขากลับใช้เข็มทิศสาสน์เต๋าได้ถนัดมือมากกว่า

“ฉึบ !”

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนที่หอกยาวปะทะกับเข็มทิศสาสน์เต๋า ตรามหาหัตถ์ราชาของหลัวซิว ก็มาถึงเหนือศีรษะของจอมมกุฎเชียงฉู่เสียแล้ว

ไม่เพียงเท่านี้ เพราะจอมมกุฎเชียงฉู่เข้ามาใกล้เขาในระยะหนึ่งร้อยเมตร หลัวซิวจึงเปิดใช้อาณาจักรไร้ลักษณ์ของตนเองทันที

ทันใดนั้นเอง ความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดก็ปรากฏขึ้นในใจของจอมมกุฎเชียงฉู่

หากไม่มีอาณาจักรไร้ลักษณ์คอยยับยั้ง ตรามหาหัตถ์ราชาเซียนนี้ อย่างมากก็แค่ทำให้จอมมกุฎเชียงฉู่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่อาณาจักรไร้ลักษณ์ของหัวซิว สามารถลบล้างการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งช่วงปลายได้อย่างง่ายดาย เมื่อผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิคนหนึ่ง ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้อาณาจักร ก็แทบจะสูญเสียกำลังในการต้านทานไปโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น หลังจากเสียงปังดังขึ้น ร่างของจอมมกุฎเชียงฉู่ก็ถูกฟาดจนกลายเป็นผุยผง ไม่เหลือแม้แต่กระดูก !

หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้า หอกสีม่วงนั้นก็ตกลงมาในมือของเขา เขากวัดแกว่งสองครั้ง และเผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมาที่มุมปาก “หอกเล่มนี้ไม่เลวเลย”

ไม่ไกลนัก จอมมกุฎคูมู่ที่กำลังเตรียมตัวจะลงมือเช่นเดียวกัน กลับตกตะลึงอยู่กับที่ รวมไปถึงบรรดาคนที่จอมมกุฎทั้งสองพามา ที่เฝ้าดูอยู่ในที่ไกล ๆ ต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

ถึงแม้พวกเขาจะเคยเห็นฉากเช่นนี้ตอนที่สังหารจอมมกุฎหุนเตา แต่เมื่อเทียบกับฉากการกำจัดจอมมกุฎเชียงฉู่เมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าฉากหลังนั้นน่าตกใจยิ่งกว่า

หลัวซิวค่อย ๆ เก็บแหวนของจอมมกุฎเชียงฉู่ขึ้นมา จากนั้นก็หันมองจอมมกุฎคูมู่ พลางพูดด้วยรอยยิ้ม : “ผู้เพื่อนยุทธ์คูมู่ก็คิดจะลงมือกับข้าด้วยอย่างนั้นหรือ ?”

แม้หลัวซิวจะไม่ได้แสดงเจตนาฆ่าใด ๆ ออกมา แต่ตอนที่ตนเองถูกอีกฝ่ายจ้องมองสบตา จอมมกุฎคูมู่ก็ถอยร่นไปสองก้าวตามสัญชาตญาณ ตอนที่เขาตั้งสติได้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายข่มขู่อยู่นั้น หน้าผากก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว

“ผู้อาวุโสซิวหลัวพูดอะไรกัน เชียงฉู่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่ เขาตายก็สมควรแล้ว” คูมู่เผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมา ถึงขั้นยอมลดฐานะของตัวเองลง เรียกหลัวซิวว่าผู้อาวุโส

ปกติแล้ว ด้วยผลการฝึกตนระดับผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิของเขา อย่างน้อยต้องเป็นผู้แกร่งเลิศ จึงจะมีสิทธิ์ถูกเขาเรียกว่าผู้อาวุโส แต่ตอนนี้เพื่อเอาชีวิตรอด ดูเหมือนแม้กระทั่งศักดิ์ศรีจอมมกุฎคูมู่ก็ไม่ต้องการแล้ว

“เหอะๆ เจ้าพูดถูก หุนเตาและเชียงฉู่ล้วนเป็นพวกโง่ที่ไม่รู้ความ และที่จริงเจ้าเอง ก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาสักเท่าไร”

ตอนที่หลัวซิวพูดประโยคนี้ออกมา พลังตัวสำนึกที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขา ก็ระเบิดออกมาในทันที ตัวสำนึกของเขาแปลงเป็นดาบมารของเทพสังหาร และแทงเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของจอมมกุฎคูมู่ทันที

“เจ้า......”

ตอนที่จอมมกุฎคูมู่รับรู้ หน้าก็ถอดสีทันที แต่เขากลับส่งเสียงออกมาไม่ได้อีกแล้ว เพราะเขาต้องใช้แรงทั้งหมดในการต้านทานการโจมตีวิญญาณที่พุ่งเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของเขา

“ฉึบ !”

หอกยาวสีม่วงแทงทะลุศีรษะของจอมมกุฎคูมู่ ในชั่วขณะแห่งความตาย ในใจของจอมมกุฎคูมู่เต็มไปด้วยความเสียใจ เขาคิดว่าตนเองวางคิดคำนวณไปมาอย่างถี่ถ้วน แต่ทำไมกลับคิดไม่ถึงว่า ความสามารถของอีกฝ่ายนั้น แข็งแกร่งถึงขั้นสามารถบดขยี้ และไม่เห็นแผนการชั่วอยู่ในสายตาเลยสักนิดได้

และในขณะเดียวกัน เขาเองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง ถ้าหากเขากับจอมมกุฎเชียงฉู่ไม่คิดจะซุ่มโจมตี แต่ตรงเข้ามาใช้ท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเอง บางทีอาจยังพอดิ้นรนได้บ้าง แต่ผลลัพธ์พวกเขากลับไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะดิ้นรนเสียด้วยซ้ำ

......

ในขณะเดียวกันนี้ ในแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีมารของโลกร้าง มีปราณปีศาจมหึมา ปกคลุมอย่างกว้างขวางทั่วฟ้าดิน

ตั้งแต่ที่บรรพเทพมกุฎเต๋าถูกฆ่าตาย และหลังจากที่โลกร้างเสื่อมโทรม วีถีมารแดนศักดิ์สิทธิ์และชนเผ่าเฉว่ซ่า ที่มีสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงและเผ่ามังกรไท่ชูคอยสนับสนุนก่อนหน้านี้ ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง และกลายเป็นเจ้าแห่งโลกร้าง

ครั้งก่อนตอนที่หลัวซิวอาศัยพลังมนุษย์อมตะกวาดล้างโลกร้าง เพราะเวลามีจำกัด ดังนั้นเขาจึงตั้งใจโจมตีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าสองคนนั้นเป็นหลัก ส่วนสถานที่เล็ก ๆ อย่างวิถีมารแดนศักดิ์สิทธิ์และชนเผ่าเฉว่ซ่า เขาเองไม่ได้สนใจ จึงพ้นเคราะห์ไปได้

“แม่หนู เจ้ายอมแพ้เถอะนะ ด้วยเจตนารมณ์ที่อ่อนแอของเจ้า ไม่มีทางต่อต้านข้าได้หรอก”

ลึกเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีมาร ซึ่งก็คือแหล่งที่มาของปราณปีศาจมหึมา มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น ในตัวหยั่งรู้ของสาวงามคนหนึ่ง

“หากเจตนารมณ์ของข้าอ่อนแออย่างที่ท่านว่า ท่านจะมัวพูดไร้สาระกับข้าอยู่เช่นนี้หรือ ? เกรงว่าท่านคงจะครอบครองร่างกายของข้าไปตั้งนานแล้ว”

เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น ปรากฏผู้หญิงสองคนขึ้นในตัวหยั่งรู้ คนหนึ่งคือฮู๋ชิงชิง ส่วนอีกคนมีรูปร่างหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับฮู๋ชิงชิง แต่ก็เป็นหญิงงามคนหนึ่งเช่นกัน

ฮู๋ชิงชิงรู้ว่า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ก็คือบรรพอสูรฟ้า

นางเป็นทายาทของบรรพอสูรฟ้า ก่อนที่บรรพอสูรฟ้าจะจบชีวิตลง นางยังเป็นเพียงแค่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยังฝึกตนไม่ถึงระดับเทพมารเสียด้วยซ้ำ

บรรพอสูรฟ้า เคยเป็นศัตรูของประมุขเต๋าชิงเทียน เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของนาง หากในยุคนั้นไม่มีประมุขเต๋าชิงเทียนแล้วละก็ นางจะต้องเป็นประมุขเต๋าผู้ปกครองสวรรค์ในยุคนั้นอย่างแน่นอน

“อย่างมากอีกแค่เก้าวัน ถึงแม้ข้าจะไม่อาจฝืนหลอมรวมเจตนารมณ์ของเจ้าได้ แต่เจตนารมณ์ของเจ้าก็จะถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์ ข้าจะใช้ชีวิตของเจ้าในการเกิดใหม่ ข้ารอมาเป็นเวลานาน ก็เพื่อวันนี้ ข้าจะกลยเป็นประมุขเต๋า และสุดท้ายก็กลายเป็นเซียน !” บรรพอสูรฟ้าแสยะยิ้มแล้วพูดขึ้น

“เหอะๆ ถึงแม้ข้าจะเป็นทายาททางสายเลือดของท่าน แต่ข้าก็ยังต้องบอกท่านว่า อย่างไรเสียท่านก็เป็นเพียงอดีตผู้แพ้เท่านั้น ต่อให้ท่านอาศัยร่างของข้าในการเกิดใหม่ ท่านก็ยังเปลี่ยนความจริงที่ท่านเป็นผู้แพ้ไม่ได้อยู่ดี !”

“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้ !” บรรพอสูรฟ้าตะโกนเสียงดัง

“หากบอกว่ายุคนี้จะมีคนคนหนึ่งกลายเป็นเซียน เช่นนั้น คนคนนั้นต้องไม่ใช่ท่านอย่างแน่นอน มีเพียงแค่เขาเท่านั้น......”

ฮู๋ชิงชิงไม่ได้สนใจเสียงตะคอกของบรรพอสูรฟ้า ทำเพียงพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาเท่านั้น ในใจปรากฏเงาด้านหลังของคนคนหนึ่งขึ้นมา คนที่มักสวมชุดคลุมยาวสีดำคนนั้น นางไม่ได้เจอกับเขานานแล้ว เป็นร่างกายกำยำที่นางโหยหามาโดยตลอด......

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ