เคล็ดเซียนแปรเก้าบรรลุถึงแปรที่แปด ร่างเนื้อจึงสามารถเทียบทัดภัณฑ์เต๋า มากสุดสามารถบรรลุถึงระดับของภัณฑ์เต๋าชั้นสูง หากสามารถบรรลุถึงระดับที่สูงที่สุดของแปรที่เก้า เช่นนั้นร่างเนื้อก็จะเทียบเท่าภัณฑ์เต๋าชั้นยอด
สามารถพูดได้เลยว่าวรยุทธ์กลั่นร่างวิชานี้ เป็นวรยุทธ์ที่มกุฎเต๋าหวูจี๋ทุ่มเทแรงกายและแรงใจมายาวนานอย่างไม่รู้จบ จนกลายเป็นวรยุทธ์กลั่นร่างอันดับหนึ่งในจักรวาล
แม้แต่วรยุทธ์กลั่นร่างระดับเซียนบางวิชาก็เทียบเคียงกับเคล็ดเซียนแปรเก้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้อบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวของเคล็ดเซียนแปรเก้าก็คือ ขาดแคลนวิถีที่จะนำไปสู่การบรรลุเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์
แต่ถ้าเกิดมกุฎเต๋าหวูจี๋สามารถฝึกจนบรรลุเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ก้าวเข้าสู่แดนเซียน เช่นนั้นวรยุทธ์วิชานี้ก็จะสามารถบรรลุถึงระดับของวรยุทธ์ระดับเซียน อีกทั้งเป็นวรยุทธ์กลั่นร่างระดับเซียนขั้นสุดยอด
วิถีไร้ลักษณ์รองรับทุกสรรพสิ่ง หลัวซิวไม่ได้ฝึกเคล็ดเซียนแปรเก้าตามขั้นตอนการดั้งเดิมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เป็นการนำแก่นสารของเคล็ดเซียนแปรเก้าหลอมรวมเข้ากับวิถีไร้ลักษณ์ของตนเอง
ถึงแม้หลัวซิวเพิ่งจะบรรลุถึงแดนแปรที่แปดก็ตาม แต่เขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าวรยุทธ์วิชานี้ ยังมีศักยภาพที่สามารถขุดคุ้ยได้อีกเยอะมาก แปรที่เก้าไม่มีทางใช่จุดสิ้นสุดแน่นอน อนาคตเขาสามารถริเริ่มจากพื้นฐานของมกุฎเต๋าหวูจี๋ต่อ ปรับปรุงแก้ไขให้กำเนิดแปรที่สิบ ตลอดจนแปรที่ 11!
แม้นแดนกลั่นร่างจะบรรลุถึงแปรที่แปด แต่ทว่าจากการที่หลัวซิวจมดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเท้าทั้งสองข้างย่ำอยู่บนพื้นที่อยู่ต่ำที่สุดของลาวา แม้นร่างเนื้อจะเทียบทัดภัณฑ์เซียนชั้นล่าง ก็ยังคงสามารถสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวอยู่ดี อีกทั้งเขาจำเป็นต้องโคจรพลังเซียนตลอดเวลา เพื่อประคองอาณาจักรไร้ลักษณ์ ทลายออร่าที่ร้อนแผดเผา มิเช่นนั้นทันทีร่างเนื้อเปิดเผยอยู่ภายใต้ลาวานี้ เขาต้องถูกแผดเผ่าจนกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างแน่นอน
หลังจากมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของลาวา หลัวซิวก็สัมผัสออร่าของเซียนอัคคีได้แล้ว เมื่อเขาเดินตามพลังออร่าดังกล่าวไป อาณาจักรไร้ลักษณ์ก็ใกล้จะต้านทานการกัดกร่อนของออร่าระอุไม่ได้แล้ว
เวิ่ง!
มีแสงเซียนดวงหนึ่งปรากฏ ขวดเซียนอัคคีหลอมจิตลอยอยู่เหนือศีรษะหลัวซิว มีระลอกคลื่นลูกหนึ่งปรากฏบนปากขวด ออร่าระอุที่แผ่มาจากทั่วทุกสารทิศจึงถูกขวดเซียนอัคคีหลอมจิตดูดกลืนอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าแรงกดดันลดฮวบลงไปไม่น้อยเลย
ทว่าอย่างไรเสียขวดเซียนอัคคีหลอมจิตก็เป็นภัณฑ์เซียน จากผลการฝึกตนของหลัวซิว ยังไม่สามารถประคองใช้งานมันได้นาน ๆ ดังนั้นเขาจึงรีบก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปประมาณ 15 นาที เขาก็มองเห็นเซียนอัคคีดวงนั้น
แม้นหลัวซิวจะมองเห็นเซียนอัคคีดวงนั้น ทว่าเขากลับไม่ได้เพ่งเล็งความสนใจทั้งหมดไปที่เซียนอัคคี แต่ถูกเงาดำร่างหนึ่งที่อยู่ข้างเซียนอัคคีดึงดูดไป
คนดังกล่าวคือสตรีที่กำลังนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิคนหนึ่ง เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวคือชุดกระโปรงยาวสีม่วง นางกำลังหลับตา หน้าตาไม่ได้สระสวยมากเท่าไหร่นัก แต่กลับมีใบหน้าอันอ่อนช้อยที่น่ามองมาก
และสิ่งที่หลัวซิวใส่ใจมากกว่าคือ มือทั้งสองข้างของสตรีคนดังกล่าวกำลังวางอยู่บนเซียนอัคคี ซึ่งเซียนอัคคีกำลังไหลเข้าไปในฝ่ามือทั้งสองข้างของนาง แล้วเข้าไปในร่างกายนางทีละน้อย
“ไม่นึกเลยว่าจะถูกผู้อื่นคว้าไปก่อนอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของหลัวซิวดูย่ำแย่เล็กน้อย ผู้ที่กล้าดูดซับพลังแห่งเซียนอัคคีเข้าไปกลั่นแปรในร่างกายนั้น ต้องไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งทั่วไปแน่นอน อย่างน้อยหลัวซิวที่มีร่างเนื้อเทียบทัดภัณฑ์เซียนชั้นล่างก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นแน่นอน
เพราะอย่าว่าแต่ภัณฑ์เซียนชั้นล่างเลย ต่อให้เป็นร่างเนื้อที่เทียบเท่าภัณฑ์เซียนชั้นยอด ก็จำเป็นต้องใช้สมบัติพิเศษบางอย่างมาช่วยเหลือเช่นกัน ถึงจะกล้าดูดซับกลั่นแปรพลังของเซียนอัคคีโดยตรง
และในเวลานี้เอง สตรีที่อยู่ในกระโปรงม่วงก็ลืมตาขึ้นมากะทันหัน ขนตาของนางยาวมาก โฉมหน้าที่ไม่ถือว่างามเมืองล่ม ควบคู่กับดวงตาที่งดงามคู่หนึ่ง ทำให้นางมีมนต์เสน่ห์ที่หาที่เปรียบไม่ได้ทันที
ยิ่งกว่านั้นคือจากความหนักแน่นของปณิธานตัวธรรมของหลัวซิว เมื่อเขาเห็นสตรีกระโปรงม่วงนั่นลืมตาขึ้นมา ก็อดใจไม่ไหวอยากสบตากับนางนาน ๆ เช่นกัน
นี่จึงทำให้จิตใจหลัวซิวรู้สึกหวาดหวั่น เขายิ่งรู้สึกว่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา มีความตึงเครียดเสี้ยวหนึ่งทะลุออกมาจากแววตา
“ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ คาดว่าก็น่าจะมาเพราะเซียนอัคคีดวงนี้สินะ?”สตรีกระโปรงม่วงมองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง เม้มปากครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยปากพูด
หลัวซิวไม่ได้ตอบกลับคำถามนี้แต่อย่างใด เพราะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าสตรีนางนี้ถามโดยที่ทราบคำตอบอยู่แล้ว ถ้าเกิดไม่ใช่มาเพราะเซียนอัคคี ผู้ใดจักว่างมากจนต้องแจ้นมาก้นบึ้งของลาวาแห่งนี้หรือ?
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามนิ่งเงียบไม่ปฏิเสธ ความรู้สึกบนใบหน้าสตรีกระโปรงม่วงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ก่อนจะพูดต่อว่า: “จากกำลังแรงของข้าเพียงคนเดียว ก็ยากที่จะกลั่นแปรเซียนอัคคีดวงนี้เช่นกัน เจ้าและข้าร่วมมือกันกลั่นแปรคนละครึ่งเป็นอย่างไร?”
สมบัติอย่างเซียนอัคคีเป็นสิ่งที่หาพบได้ยากมาก หลัวซิวรู้ตัวเองดีอยู่ว่าถ้าเกิดเปลี่ยนเป็นตัวเขาละก็ ภายใต้สถานการณ์ที่มาถึงที่นี่ก่อน เขาไม่มีทางแบ่งปันผลประโยชน์กับคนที่ไม่รู้จักคนหนึ่งแน่นอน แต่สตรีกระโปรงม่วงคนนี้กลับเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ จึงทำให้เขาอดครุ่นคิดไม่ได้
“หากข้าดูไม่ผิดละก็ จากผลการฝึกตนของผู้เพื่อนยุทธ์ยังไม่สามารถกลั่นแปรเซียนอัคคีดวงนี้ได้โดยสิ้นเชิง แต่เจ้าเริ่มกลั่นแปรมันแล้ว จะไม่สามารถหยุดการกลั่นแปรเช่นกัน หากเจ้าฝืนหยุดกลั่นแปร เจ้าต้องถูกเซียนอัคคีแว้งกัดแน่นอน หากเจ้าฝืนกลั่นแปรต่อไป เช่นนั้นร่างกายของเจ้าก็จะถูกแผดเผาเป็นเถ้าธุลีเพราะต้านทานพลังแห่งเซียนอัคคีที่มากล้นไม่ไหว”ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็เพ่งมองใบหน้าของสตรีกระโปรงม่วงพลางพูด
แต่เขากลับมองความลนลานจากใบหน้าสตรีคนดังกล่าวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย สีหน้าอารมณ์ของนางยังคงดูเรียบนิ่งอยู่เช่นเคย มองหน้าหลัวซิวนิ่ง ๆ “ในเมื่อเจ้าค้นพบแล้ว เช่นนั้นต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมช่วยข้า?”
“อย่างนั้นก็ต้องรอดูแล้วล่ะว่าเจ้าจะมอบค่าตอบแทนอะไรให้ข้า”หลัวซิวตอบกลับ
“ไข่มุกเต๋าชั้นสูงสิบล้านเม็ดเป็นอย่างไร?”สตรีกระโปรงม่วงตอบกลับ
เมื่อหลัวซิวได้ยินคำตอบนี้ เขาก็เกือบคิดว่าตัวเองหูฝาดไปแล้ว ไข่มุกเต๋าชั้นสูงกลายเป็นสินค้าราคาต่ำอย่างผักกาดขาวตั้งแต่เมื่อไหร่?
ต้องท้าวความก่อนว่าภายในแหวนเก็บของลึกลับที่เขาเก็บได้เมื่อปีนั้น ภายในมีค่ายกลหนึ่งที่ฝึกเซ่นไข่มุกเต๋า ทำให้เขาได้รับไข่มุกเต๋ามาเป็นร้อยล้านปี ทว่าไข่มุกเต๋าชั้นสูงที่อยู่ภายในก็มีแค่แสนกว่าเม็ดเท่านั้น
เมื่อเห็นหลัวซิวไม่พูดอะไร สตรีกระโปรงม่วงจึงขมวดคิ้วลง “ข้าจะเพิ่มไข่มุกเต๋าชั้นยอดให้เจ้าอีกไม่หนึ่งหมื่นเม็ด”
คราวนี้ทำให้หลัวซิวหมดคำจะพูดเล็กน้อยแล้วจริง ๆ ทรัพย์สินของสตรีนางนี้มีเยอะเกินไปแล้ว เขากล้าพูดเลยว่าในบรรดามกุฎเต๋าทั้งหลายในจักรวาลสามโลกา ไม่มีคนใดสามารถควักไข่มุกเต๋าชั้นยอดหนึ่งหมื่นเม็ดและไข่มุกเต๋าชั้นสูงสิบล้านเม็ดออกมาได้ในครั้งเดียวแน่นอน
ต่อให้เป็นไข่มุกเต๋าชั้นล่างและไข่มุกเต๋าชั้นกลาง ก็เป็นสิ่งที่ตามหายากมาก ๆ อย่างไรเสียสถานที่ที่สามารถกำเนิดไข่มุกเต๋าก็มีน้อยเกินไป และดาราจักรวาลก็กว้างใหญ่ขนาดนี้อีก
เมื่อเซียนอัคคีที่หลงเหลือเบาบางมากแล้ว หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่าอัคคีชาตะไร้ลักษณ์ของตัวเองบรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว
อัคคีแห่งมกุฎเต๋า ขีดจำกัดอัคคีเทพ
ถ้าเกิดบอกว่าจากแดนกลั่นร่างถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ถือเป็นระดับมนุษย์ทั่วไปของระดับวิถียุทธ์ เช่นนั้นจากเทพมารถึงมกุฎเต๋าล้วนถือเป็นระดับขอบเขตของเทพมาร เช่นนั้นระดับที่อยู่สูงกว่าเทพมารก็คือระดับของเซียน
อัคคีชาตะไร้ลักษณ์ของหลัวซิวเจริญเติบโตขึ้นมาหลังจากได้ดูดกลืนเซียนอัคคี ปัจจุบันมันเจริญเติบโตขึ้นมาถึงระดับขั้นสูงสุดของเทพมารแล้ว สามารถพูดได้เลยว่าเป็นอัคคีเทพชั้นสุดยอด
อาศัยความแข็งแกร่งของวิถีไร้ลักษณ์ ต่อให้ผู้อื่นก็มีอัคคีเทพชั้นยอดเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งกว่าอัคคีไร้ลักษณ์แน่นอน เพราะอัคคีไร้ลักษณ์ได้สืบทอดเอกลักษณ์ของวิถีไร้ลักษณ์อย่างสมบูรณ์แบบ พลังไร้ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง พลังลักษณ์รองรับทุกสรรพสิ่ง
เซียนอัคคีเสี้ยวสุดท้ายถูกสตรีกระโปรงม่วงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลั่นแปร ในระหว่างการกลั่นแปรของนาง หลัวซิวไม่ได้รบกวนนางแต่อย่างใด
“ข้าชื่ออานจิ่งเซวียน”สตรีกระโปรงม่วงหยุดการฝึกตน ก่อนจะพูดชื่อตัวเองออกมาก่อน
“ข้าชื่อหลัวซิว ข้าเคยได้ยินมกุฎเต๋าประมุขเต๋าส่วนมากในจักรวาลสามโลกาแล้ว ไม่ทราบว่าผู้เพื่อนยุทธ์อานมาจากสำนักใดหรือ?”หลัวซิวถามอย่างเรื่อยเปื่อย
“การที่ศิษย์พี่หลัวไม่เคยได้ยินชื่อข้านั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก เพราะข้าคบค้าสมาคมกับผู้อื่นน้อยมาก ๆ ส่วนมากล้วนเพ็ญตนคนเดียว”สตรีกระโปรงม่วงตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หลัวซิวสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้โกหก จึงแสดงให้เห็นเลยว่าในดาราจักรวาทที่กว้างใหญ่ไพศาล มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร แต่กลับเป็นการคงอยู่ที่แข็งแกร่งมาก
อย่างน้อยหลัวซิวก็รู้สึกว่าสตรีผู้มีนามว่าอานจิ่งเซวียนที่อยู่ตรงหน้านี้ ศักยภาพของนางสามารถเทียบทัดมกุฎเต๋าธรรมดาได้อย่างแน่นอน
“แซ่หลัวยังมีธุระต้องทำ หวังว่าจะได้พบกันอีกนะ”
แม้นจะร่วมมือกันกลั่นแปรเซียนอัคคีดวงหนึ่ง ทว่าอย่างไรเสียก็แค่รู้จักกันโดยบังเอิญ ปัจจุบันอัคคีไร้ลักษณ์บรรลุถึงระดับของอัคคีเทพชั้นยอดแล้ว หลัวซิวก็วางแผนที่จะเดินทางไปแดนต้องห้ามของเผ่าหงส์เซียนอีกรอบ เพื่อดูว่าจะสามารถช่วยเยว่เอ๋อร์ที่ติดอยู่ภายในออกมาได้หรือเปล่า
หลังจากสิ้นเสียง หลัวซิวก็เรียกเข็มทิศสาส์นเต๋าออกมาแล้ว มีพลังแห่งห้วงดาราที่ลึกซึ้งตลบฟุ้งออกมา จากนั้นเข็มทิศสาส์นเต๋าก็กลายเป็นลำแสงดวงหนึ่ง บินออกไปจากก้นบึ้งลาวาภายในพริบตา
“ปัจจุบันข้าก็บรรลุถึงร่างเทวขั้นสูงแล้ว ก็สามารถไปทดลองที่สถานที่แห่งนั้นได้อีกครั้งแล้ว”
หลังจากหลัวซิวจากไป อานจิ่งเซวียนก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเช่นกัน มีแสงสีทองแย้มบานขึ้นมาจากเท้านาง จากนั้นก็มีเรือบินลำหนึ่งปรากฏ พานางผันเป็นแสงกลดวงหนึ่งหายวับไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...