มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3019

นั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศสาส์นเต๋า หลัวซิวสามารถสัมผัสความกว้างใหญ่ไพศาลของห้วงดาราที่อยู่รอบกายได้อยู่

สถานที่ทั้งหมดที่เขาเคยย่างกรายไปในห้วงดาราแห่งนี้ ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของจักรวาลเท่านั้นแหละ มาตรแม้นว่าเป็นเหล่ามกุฎเต๋าที่คงอยู่มายาวนานอย่างไม่รู้จบ ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตกลงจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้กว้างใหญ่เท่าไหร่กันแน่

มีคนบอกว่าจักรวาลไร้ขอบเขต พื้นที่มิติของจักรวาลนั้นไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งเป็นเฉกเช่นเดียวกับเวลาที่ไร้ขอบเขต

แต่หลัวซิวกลับรู้สึกว่าจักรวาลไม่ได้ไร้ขอบเขต แค่คนที่พูดคำพูดเช่นนี้ยังบรรลุไม่ถึงแดนระดับนั้น ฉะนั้นถึงไม่ทราบว่าขอบเขตขีดจำกัดของดาราจักรวาลอยู่ที่ใด

ซึ่งเป็นเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่ทำได้เพียงคาดคะเนความแข็งแกร่งของเทพมาร มีเพียงหลังจากตัวเองบรรลุเป็นเทพมารแล้ว ถึงจะทราบว่าพลังของเทพมารแข็งแกร่งมากเพียงใดกันแน่

ตั้งแต่เผ่าหงส์เซียนถูกเขาล้มล้าง อีกทั้งใช้ค่ายกลผนึกสถานบรรพบุรุษ แม้นเหล่าประมุขเต๋าจำนวนมากที่เคยไปมาหาสู่กับเผ่าหงส์เซียนจะเดินทางมาที่นี่ ก็ไม่สามารถตามหาตำแหน่งของเผ่าหงส์เซียนได้อยู่ดี

ทว่าในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่ขาดแคลนยอดฝีมือ ข่าวคราวที่เผ่าหงส์เซียนถูกหลัวซิวล้มล้างแพร่งพรายออกไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นค่ายกลที่เขาจัดวางเมื่อปีนั้นก็ถูกคนค้นพบเช่นกัน อีกทั้งมีคนทลายค่ายกลของเขา เข้าไปในสถานบรรพบุรุษของเผ่าหงส์เซียนแล้ว

หลัวซิวไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ สถานบรรพบุรุษของเผ่าหงส์เซียนถูกเขาทำลายจนสภาพพังยับเยินไปตั้งนานแล้ว คลังสมบัติของเผ่าหงส์เซียนก็ถูกเขากวาดเรียบ ทั้งสถานบรรพบุรุษ สิ่งเดียวที่ยังมีมูลค่าอยู่ก็คือสระไขกระดูกเซียนหงสาอัคคี รวมไปถึงสถานต้องห้ามที่เล่ากันว่าเป็นที่ที่ผู้บุกเบิกทั้งสามรุ่นของเผ่าหงส์เซียนนั่งฌานละสังขาร

บริเวณรอบ ๆ สระไขกระดูกเซียนหงสาอัคคีมีค่ายกลระดับเซียนคุ้มกัน มีเพียงมีบัญชาเซียนเต๋าติดตัวถึงจะสามารถอยู่ภายในได้ 12 ชั่วโมง ในส่วนของการโจมตีด้วยพลังอำนาจ ต่อให้เหล่ามกุฎเต๋าร่วมมือกัน ก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลระดับเซียนที่คอยคุ้มกันอยู่รอบสระไขกระดูกเซียนหงสาอัคคี

ส่วนแดนต้องห้ามของเผ่าหงส์เซียนนั้น ยิ่งเป็นสถานที่ที่อันตรายกว่าสระไขกระดูกเซียนหงสาอัคคีมาก

มาถึงประตูหินของแดนต้องห้ามอีกครั้ง หลัวซิวโคจรไร้ลักษณ์ อาศัยอัคคีชาตะไร้ลักษณ์ที่เพิ่งเลื่อนขั้น ผันเปลี่ยนออร่าสายเลือดของตัวเองให้กลายเป็นออร่าสายเลือดของเผ่าหงส์เซียน

ครั้งก่อนเขาก็เคยลองเลียนแบบสายเลือดเผ่าหงส์เซียนเข้าไปในแดนต้องห้ามเช่นกัน แต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยความล้มเหลว ต่อมาหลังจากหลัวซิวอนุมานหลายครั้ง ถึงจะทราบว่าสายเลือดหงส์เซียนที่ตัวเองเลียนแบบยังขาดระดับของออร่าอัคคี

อัคคีไร้ลักษณ์ดูดกลืนเซียนอัคคีทำให้ระดับอัคคีเพิ่มขึ้น แม้นจักบรรลุไม่ถึงระดับเซียนอัคคี แต่กลับมีพลังออร่าของเซียนอัคคีแฝงซ่อนอยู่แล้ว นี่จึงทำให้สายเลือดหงส์เซียนที่หลัวซิววิวัฒนาการออกมามีท่วงเซียนที่แท้จริงเสี้ยวหนึ่ง

“โครมคราม……”

หลัวซิวใช้มือทั้งสองข้างกดลงบนประตูหิน จากการที่มีเสียงโครมครามดังขึ้น ประตูหินก็ถูกเขาผลักจนแง้มออกเล็กน้อย และนี่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการอนุมานของเขาไม่มีผิด เอกลักษณ์ที่แท้จริงของสายเลือดหงส์เซียนก็อยู่ที่ท่วงเซียนเสี้ยวนั้นนั่นเอง!

ย่างเท้าเดินเข้าไปในแดนต้องห้ามหลังประตูหิน ถัดจากนั้นประตูหินที่แง้มออกเล็กน้อยก็ปิดลงจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ต่อมาสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าหลัวซิวก็คือโลกะเพลิงอัคคีที่ไร้ขอบเขต

อัคคีของที่นี่ล้วนเป็นสีทอง มีพลังอำนาจที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ตลบฟุ้งไปทั่ว ทำให้รู้สึกเหมือนมีผู้สูงส่งคนหนึ่งกำลังจ้องสังเกตการณ์ตัวเองอยู่ในที่ลับ

หลัวซิวสัมผัสออร่าความอันตรายได้จากเพลิงทองที่แผดเผาลุกโชนอยู่ด้านหน้า ทำให้เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

เนื่องจากเขาค้นพบว่า ยกเว้นพื้นที่บริเวณโดยรอบห้าเมตรที่เขากำลังยืนอยู่ บริเวณรอบ ๆ ที่เหลือล้วนอัดแน่นไปด้วยเพลิงทอง ซึ่งไม่มีสถานที่ใดที่เขาสามารถย่ำเท้าลงได้เลย

จึงทำให้เขารู้สึกอันตรายอย่างยิ่ง ทำให้หลัวซิวยิ่งเป็นห่วงความปลอดภัยของเยว่เอ๋อร์มากขึ้น

ทันใดนั้นเอง แววตาหลัวซิวก็ดูเข้มงวดขึ้นมา เพราะตัวสำนึกของเขาสัมผัสค่ายกลซ่อนงำขนาดเล็กได้จากข้าง ๆ

เวิ่งง!

เคลื่อนไหวตัวสำนึกทีหนึ่ง หลัวซิวก็ทลายค่ายกลซ่อนงำดังกล่าวไปได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็มีผังค่ายซ่อนงำชิ้นหนึ่งร่วงตกลงบนพื้น

เสี้ยววินาทีที่เห็นผังค่ายซ่อนงำชิ้นนั้น สีหน้าของหลัวซิวก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเขาเป็นคนกลั่นผังค่ายซ่อนงำชิ้นนี้ด้วยตนเอง อีกทั้งมอบมันให้กับเหยียนเยว่เอ๋อร์ด้วย

“เยว่เอ๋อร์……”

หลัวซิวอดตะโกนในใจคำหนึ่งไม่ได้ จากนั้นก็จับผังค่ายชิ้นนั้นเอาไว้ด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด แล้วมองเห็นม้วนหยกชิ้นหนึ่งบนผังค่าย

เขาแผ่ตัวสำนึกเข้าไปภายในม้วนหยกชิ้นนั้นอย่างอดใจรอไม่ไหว จากนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยสะท้อนเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของเขา

ตลอดทั้งชีวิตของเหยียนเยว่เอ๋อร์ข้า สิ่งที่มีความสุขที่สุดก็คือสามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่านสวามีได้ยาวนานเช่นนี้! ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือสามารถมีศักยภาพที่แข็งแกร่ง แล้วเผชิญหน้ากับขวากหนามต่าง ๆ อยู่ข้างกายท่านสวามี แต่ไม่ใช่ตัวถ่วงของท่านสวามี! ข้ายังมีสิ่งที่เสียดายที่สุด นั่นก็คือไม่สามารถมีบุตรร่วมกับท่านสวามีได้……

เสียงที่คุ้นเคยวนเวียนอยู่ในตัวหยั่งรู้ ดังก้องอยู่ข้างหูนานมาก หลัวซิวกำม้วนหยกชิ้นนั้นเอาไว้แน่น ๆ จู่ ๆ น้ำตาก็ไหลนองลงมาเป็นทาง เคลื่อนผ่านใบหน้า แล้วร่วงลงพื้น

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หลัวซิวรู้สึกว่าตัวเองผิดต่อภรรยามาโดยตลอด ทว่ากระทั่งวินาทีนี้ถึงจะตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตนผิดต่อนางนั้น มีมากกว่าที่เขาจินตนาการมาก ๆ

เขารู้อยู่ว่าขณะที่เยว่เอ๋อร์ทิ้งม้วนหยกชิ้นนี้เอาไว้ นางต้องมั่นใจมากแน่นอนว่าตนต้องได้ตายแน่นอน และต่อให้ตัวเองกำลังอยู่ในวินาทีที่เผชิญหน้ากับความตาย คำสั่งเสียที่นางทิ้งไว้ก็ล้วนแต่จะมีความเกี่ยวข้องกับหลัวซิวทั้งนั้น

มีความทรงจำต่าง ๆ ที่ตนได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเยว่เอ๋อร์มานานเป็นพันปีผุดขึ้นมาในหัวอย่างควบคุมไม่ได้ จู่ ๆ หลัวซิวก็ค้นพบว่านอกจากช่วงเวลาที่ได้รู้จักกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ในโลกแสงดาว ภายในระยะเวลาเป็นพันปีในภายหลัง ในความทรงจำเขากลับมีการฝึกตนและการต่อสู้มากกว่า ช่วงเวลาที่ได้อยู่เคียงข้างเยว่เอ๋อร์อย่างแท้จริงนั้น มีน้อยมากถึงมากที่สุดเลย

อย่างไรก็ตามเยว่เอ๋อร์กลับยืนหยัดที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดมา ไม่เคยมีความรู้สึกโกรธแค้นใด ๆ คอยสนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด นางฝึกตนอย่างสุดกำลังสามารถก็เพื่อที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมทำสงครามไปพร้อมกับเขา นางไม่อยากกลายเป็นตัวถ่วง

“เยว่เอ๋อร์ เจ้าต้องรอดให้ได้นะ!”หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง หลับตาลง ความรู้สึกระหว่างสามีภรรยาที่ถึงตายก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงทำให้เขารู้สึกว่าเยว่เอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่

ทันใดนั้นเอง ก็มีรัศมีที่เยือกเย็นทะลุออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของหลัวซิว เห็นเพียงเขาหันขวับกลับไป แล้วมองเห็นสตรีกระโปรงม่วงที่ปรากฏด้านหลัง

“พวกมันล้วนสมควรตาย”หลัวซิวตอบกลับอย่างเย็นชา

อานจิ่งเซวียนที่ได้ยินคำตอบนี้ก็ผงะไปครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่าหลัวซิวไม่อยากพูดมาก นางก็ไม่ได้สอบถามอะไรมากเช่นกัน

นางแค่บังเอิญได้รับพลังและเลือดหนึ่งหยดของหงส์เซียน ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเผ่าหงส์เซียนเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นจึงไม่มีทางเป็นศัตรูกับหลัวซิวเพียงเพราะเรื่องราวของเผ่าหงส์เซียน

ดาราจักรวาลคงอยู่มาไม่รู้ตั้งกี่ยุคสมัย ในทุกยุคสมัยจะมีผู้แข็งแกร่งอุบัติขึ้นมาเสมอ มีกองกำลังตระกูลที่แข็งแกร่งปกครองฟ้าดิน ทว่าในขณะเดียวกันก็มีผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วน ตระกูลสำนักที่นับไม่ถ้วนสลายหายไปในสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์เช่นกัน

สำหรับเรื่องราวอย่างการล้มล้างเผ่าพันธุ์ แม้นอานจิ่งเซวียนจะไม่เคยลงมือทำด้วยตนเอง แต่กลับเคยพบเห็นมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่แค่รู้สึกไม่ค่อยชอบเรื่องการล้มล้างเผ่าพันธุ์ตระกูล เนื่องจากอดีตตระกูลที่นางกำเนิด ก็ถูกล้มล้างหลังจากตกรอบในการแข่งขันเช่นกัน

ภายในเวลาชั่วขณะ หลัวซิวและอานจิ่งเซวียนต่างเข้าสู่ความเงียบ ทั้งสองกำลังสำรวจเพลิงทองที่อัดแน่นอยู่บริเวณรอบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ขมวดคิ้วลง

เพราะจากการที่เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว เขตพื้นที่ปลอดภัยห้าเมตรในตอนแรกก็กำลังหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง วินาทีนี้เขตพื้นที่ปลอดภัยเหลือไม่ถึงสามเมตรแล้ว ซึ่งนี่ก็หมายความว่าหากเพลิงทองแผ่คลุมมาโดยสิ้นเชิง พวกเขาทั้งสองก็ต้องอาศัยปัญญาความสามารถของตน ต้านทานการแผดเผาของเพลิงทองแล้ว

ในส่วนของประตูหินที่พวกเขาเข้ามานั้น หลังจากเข้ามามันก็หายไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีทางถอย การที่จะสามารถออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่นั้น คงต้องฝ่าฟันเข้าไปตามหาหนทางในส่วนลึกของเพลิงทองแล้วล่ะ

“ดูท่าเราคงต้องร่วมมือกันอีกครั้งแล้วล่ะ”หลัวซิวมองหน้าอานจิ่งเซวียนรอบหนึ่งแล้วพูด

“เจ้าคิดจะร่วมมือกันอย่างไร?”อานจิ่งเซวียนถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม

“เมื่อก่อนเพลิงทองเหล่านี้น่าจะเป็นอัคคีระดับเซียนที่แข็งแกร่งมาก ๆ อีกทั้งเพลิงอัคคีที่อยู่ในนี้แตกต่างจากเซียนอัคคีที่เรากลั่นแปร เพลิงอัคคีของที่นี่ไม่สามารถกลั่นแปรได้ แม้นกาลเวลาจะผ่านพ้นไปยาวนาน ทำให้พลานุภาพของมันลดฮวบลงไปไม่น้อย ทว่าหากไม่มีสมบัติระดับภัณฑ์เซียน คาดว่าน่าจะต้านทานได้ยากมาก”หลัวซิวพูด

“เจ้ามีภัณฑ์เซียนหรือ?”อานจิ่งเซวียนมองหลัวซิวรอบหนึ่ง นางทราบอยู่ว่าในเมื่อหลัวซิวพูดเช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่าเขามีสมบัติระดับภัณฑ์เซียน

แม้นผลการฝึกตนของอานจิ่งเซวียนจะสูงกว่าหลัวซิว ศักยภาพก็ไม่ด้อยกว่าหลัวซิวด้วย แต่นางฝึกตนอย่างโดดเดี่ยวมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ภัณฑ์เซียนเลย แม้แต่ภัณฑ์เต๋าชั้นยอดนางยังไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียวเลย

แต่ทว่าร่างเนื้อของนางผ่านการชุบจนเทียบทัดภัณฑ์เต๋าชั้นยอดแล้ว ซึ่งนี่มีประโยชน์กว่าภัณฑ์เต๋าชั้นยอดทั้งปวง และแข็งแกร่งมากกว่าด้วย แถมนางยังมีทรัพยากรการฝึกตนเยอะมาก ทั้งยังเยอะถึงขั้นที่แทบจะใช้ไม่หมดเลย

“เจ้าก็เคยเห็นภัณฑ์เซียนชิ้นนี้ของข้าเช่นกัน”

หลัวซิวพยักหน้า จากนั้นก็โบกมือเรียกขวดเซียนอัคคีหลอมจิตออกมา ครั้นเมื่อเขาอยู่ก้นบึ้งลาวา เขาก็เคยเรียกภัณฑ์เซียนชิ้นนี้ออกมาแล้ว

“การกระตุ้นภัณฑ์เซียนจะสูญเสียผลการฝึกตนค่อนข้างมาก ฉะนั้นข้าจึงจำเป็นต้องให้เจ้าร่วมมือกับข้าเพื่อกระตุ้นพร้อมกัน เช่นนี้ถึงจะสามารถลดผลการฝึกตนของเราที่จะสูญเสียลงไปได้ต่ำที่สุด”หลัวซิวกล่าวเช่นนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ