มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3045

สัตว์ขี่ของชูวหงถูกฆ่า เงาร่างชุดคลุมดำที่เป็นเหมือนเทพสังหารผู้นั้น พลันทำให้ทุกคนตกตะลึงอึ้งทึ่งขึ้นมาทันที

แม้ว่าจะเป็นเพียงสัตว์ขี่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเซียนดิน แม้ว่าผลการฝึกตนจะถูกกดให้เหลือเพียงผู้สูงส่งขั้นสูง หากนำออกไปยังโลกภายนอก ก็ยังสามารถขยี้ประมุขเต๋าธรรมดาทั่วไปได้อย่างง่ายดาย

แต่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ กลับถูกตัดศีรษะไปภายในกระบวนท่าเดียว เช่นนั้นชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่เป็นเหมือนดั่งเทพสังหารคนนี้ มีความสามารถในระดับใดกันแน่?

“ดูท่าคงจะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนเซียนชั้นฟ้า แต่คนผู้นี้ดูแล้วไม่คุ้นหน้าเลย”

“เซียนชั้นฟ้าแล้วอย่างไร? ในโลกคุกเซียนแห่งนี้ ยังไม่เคยมีเซียนชั้นฟ้าผู้ใดกล้ามาอวดดีที่เมืองโชคลาภมาก่อน”

“ท่านเจ้าเมืองเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นสุดยอดที่สุดยอดที่สุด สามารถเอาชีวิตเซียนชั้นฟ้าธรรมดาทั่วไปได้อย่างง่ายดาย คนผู้นี้กล้าสังหารสัตว์ขี่ของท่านเจ้าเมือง เขาต้องตายแน่แล้ว!”

ผู้คนมากมายที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่ต่างก็ดูออก ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำผู้นี้ได้สังหารสัตว์ขี่ของชูวหง เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อหาเรื่อง

แสงกลสายแล้วสายเล่าลอยออกมาจากเมืองโชคลาภ เงาร่างห้าสายปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทั้งหน้าคนนี้ต่างมีผลการฝึกตนในแดนเซียนชั้นฟ้า คนที่เป็นผู้นำนั้นยิ่งเป็นเซียนชั้นฟ้าขั้นชั้นหนึ่ง

“เซียนชั้นฟ้าเจี้ยนเสี้ยวมาแล้ว!”

“เซียนชั้นฟ้าเจี้ยนเสี้ยวมีผลการฝึกตนในแดนเซียนชั้นฟ้าขั้นชั้นหนึ่งเซียวนะ แถมยังร้ายกาจกว่าเซียนชั้นฟ้าขั้นชั้นหนึ่งหลายคนอีกด้วย”

เซียนชั้นฟ้าเจี้ยนเสี้ยวคือบุรุษหนุ่มที่สวมในชุดสีขาวผู้หนึ่ง แต่เขาไม่ได้อายุน้อยอย่างที่เห็นในภายนอก เป็นเฒ่าประหลาดที่มีชีวิตผ่านมาไม่รู้กี่ยุคแห่งความโกลาหลแล้ว

แวบแรกที่เขาได้เห็นหลัวซิว เขาก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำผู้นี้มีความสามารถอันน่าทึ่ง ดังนั้นเขาจึงมิได้ลงมือโดยตรง แต่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น: “เจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดถึงได้มาก่อความวุ่นวายที่เมืองโชคลาภของเรา?”

“ข้ามาหาชูวหง ให้มันออกมา” หลัวซิวเหลือบมองเซียนชั้นฟ้าเจี้ยนเสี้ยวอย่างเฉยเมยแล้วกล่าว

“เจ้าคิดท้าประลองท่านเจ้าเมืองอย่างนั้นหรือ?” เซียนชั้นฟ้าอีกสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขากลับได้แหงนหน้าหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง

ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้วที่ไม่มีคนมาท้าประลองชูวหง ในสองสามปีแรก ก็มีพวกอวดดีมีท้าประลองอยู่บ้าง แต่จุดจบของพวกมันล้วนได้กลายเป็นกองกระดูกโดยไม่มีข้อยกเว้น

“ผิดแล้ว ข้ามิได้มาท้าประลองชูวหง แต่มาเพื่อเอาชีวิตมัน” น้ำเสียงของหลัวซิวยังคงสงบเหมือนเดิม

“ฮ่า ๆ เจ้าหมอนี่มันโง่หรือเปล่าน่ะ? มันคิดว่ามันเป็นใคร?”

เมื่อได้ฟังที่หลัวซิวพูดมา แม้แต่เซียนชั้นฟ้าเจี้ยนเสี้ยวที่หวั่นเกรงเขาเล็กน้อยก็ยังคิดว่าคนผู้นี้สมองมีปัญหา

ในโลกคุกเซียนแห่งนี้ เซียนชั้นฟ้าขั้นสุดยอดแต่ละคนต่างมีชื่อเสียงเลื่องลือ ทั้งหมดนี้ได้มาจากเลือดสด ๆ และกระดูกที่กองรวมกันนับไม่ถ้วน

ทันใดนั้นเอง เซียนชั้นฟ้าเจี้ยนเสี้ยวก็พลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือว่ามีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งได้เที่ยวตามหาคนท้าประลองไปทั่ว ได้เอาชนะเซียนชั้นฟ้าขั้นชั้นหนึ่งมาหลายคน แถมยังได้สังหารเซียนชั้นฟ้าขั้นชั้นหนึ่งไปสองสามคนอีกด้วย และหนึ่งในนั้นยังมีคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเจ้าเมืองชูวหงแห่งเมืองโชคลาภของพวกเขาอีกด้วย

ทว่ากลับไม่มีเวลาให้เซียนชั้นฟ้าเจี้ยนเสี้ยวได้ครุ่นคิด หลัวซิวพลันขมวดคิ้ว และได้ลงมือด้วยท่าทางรำคาญสุดจะทนเสียแล้ว

“ฆ่ามันเสีย!”

เห็นหลัวซิวลงมือ เซียนชั้นฟ้าอีกสี่คนที่อยู่ด้านหลังเจี้ยนเสี้ยวก็ได้บุกโจมตีเข้าไปพร้อมกัน

ทันทีทันใด การโจมตีต่าง ๆ นานาของเซียนชั้นฟ้าทั้งสี่ก็ได้ปกคลุมเข้าหาหลัวซิวอย่างมืดฟ้ามัวดิน

หลัวซิวมิได้ขยับร่างหลบ เพียงแค่ก้าวเหยียบอากาศเดินขึ้นไปด้านหน้าด้วยท่วงท่าที่ช้ามาก แสงเซียนเจิดจรัสแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา การโจมตีจากพลังอมตะทั้งหมดเมื่อเข้าใกล้เขาในระยะร้อยเมตร ล้วนได้สลายไปเอง เหมือนดั่งหิมะน้ำแข็งที่ถูกละลาย

“อะไรน่ะ?”

“เป็นไปได้อย่างไร?”

“มันทำได้อย่างไรกัน?”

“หรือว่ามันได้ฝึกสุดยอดพลังอมตะคุ้มครองกายชนิดหนึ่ง?”

เซียนชั้นฟ้าทั้งสี่หน้าถอดสี ในขณะที่พวกเขาตกตะลึงอยู่นั้น ร่างของหลัวซิวก็พลันหายไป

ไม่มีระลอกคลื่นของปริภูมิอยู่เลย และไม่มีร่องรอยของรัศมีพลังใด ๆ เขาหายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ทำให้คนไม่อาจคาดเดาเลยว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นมาตรงไหน

“ตูม!"

จู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังสนั่น เงาร่างสี่สายปลิวลอยออกไป แต่ละคนพากันกระอักเลือดออกมา และตำแหน่งที่เซียนชั้นฟ้าทั้งสี่ยืนอยู่เมื่อสักครู่นั้น เงาร่างสูงสง่าในชุดคลุมดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ

“อ่อนแอเกินไป”

หลัวซิวกล่าวขึ้นมาอย่างเรียบ ๆ มิได้มีท่าทางดีใจที่เอาชนะเซียนชั้นฟ้าทั้งคนได้อยู่เลย เพราะสี่คนนี้เป็นเพียงเซียนชั้นฟ้าขั้นธรรมดาเท่านั้น แม้แต่ขั้นชั้นหนึ่งก็ยังไม่ใช่

เซียนชั้นฟ้าเจี้ยนเสี้ยวรู้สึกเพียงเหน็บหนาวไปทั้งตัว การลงมือในเมื่อสักครู่ของอีกฝ่ายแม้แต่เขาเองยังมองไม่ชัดเจน คู่ต่อสู้เช่นนี้มันน่าสะพรึงกลัวเกินไปเสียแล้ว

ความคิดแลกของเขาก็คือหนี เพราะเขาทราบดีว่าคู่ต่อสู้เช่นนี้มีเพียงเจ้าเมืองชูวหงเท่านั้นถึง

จะรับมือได้

เพียงแต่เซียนชั้นฟ้าเจี้ยนเสี้ยวยังไม่ทันได้หันหลังกลับ จู่ ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดก็พลันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เขาก้มหน้าลงมอง จากนั้นก็พบว่ามีฝ่ามือข้างหนึ่งทะลุผ่านหน้าอกข้างซ้ายของเขาไป หัวใจถูกบีบละเอียดในทันที

การที่ร่างเนื้อได้รับบาดเจ็บหนักไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาตาย หลังจากได้ผนึกรวมช่องจิต ตราบใดที่วิญญาณดั้งเดิมของช่องจิตยังไม่มอดดับ นักยุทธ์ก็จะไม่ถือว่าตาย นับประสาอะไรกับผู้สูงส่งขั้นสูงที่มีผลการฝึกตนในแดนเซียนชั้นฟ้าขั้นชั้นหนึ่งอย่างเขา?

ทว่ากลิ่นอายแห่งความตายกลุ่มหนึ่งได้ครอบงำไปทั่วร่างของเขาในชั่วพริบตา ภายใต้การกัดกร่อนของพลังแห่งความตายกลุ่มนี้ เซียนชั้นฟ้าเจี้ยนเสี้ยวรู้สึกว่าวิญญาณดั้งเดิมของตนเป็นเหมือนดั่งเปลวเทียนที่สั่นไหวในลมพายุ ซึ่งสามารถมอดดับได้ทุกเมื่อ

วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพที่ปลายนิ้วของหลัวซิวเองก็พังทลาย นิ้วของเขาถึงกับมีเลือดไหลอาบ เห็นได้ว่าการประมือในเมื่อสักครู่ ฝีมือของเขายังด้อยกว่าชูวหงอยู่อีกมากนัก

แดนธรรมเวชหยินหยางของชูวหงได้บรรลุถึงเซียนชั้นฟ้าขั้นสุดยอด พูดได้ว่าเป็นรองเพียงราชาเซียน อาศัยเพียงแดนธรรมเวชมาดวลกัน หลัวซิวไม่แพ้สิถึงแปลก

เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศ ชุดยาวสีทองหละหลวมสวมอยู่บนร่าง ผมยาวปล่อยสยายลงมา เซียนชั้นฟ้าชูวหงสีหน้าไร้ความรู้สึก ไอสังหารอันแรงกล้ารายล้อมไปทั่วร่างกาย

“บนตัวของเจ้าไม่มีกลิ่นอายของตราประทับคุกเซียนอยู่ เช่นนั้นหมายความว่าเจ้ามาจากโลกภายนอกสินะ?"

หลังจากได้ปรากฏตัว สายตาของชูวหงก็จับจ้องมายังหลัวซิว และมองความเป็นมาของเขาออกได้ในทันที

แค่ตรงจุดนี้ ก็สามารถมองออกได้แล้วว่าชูวหงผู้นี้ไม่ธรรมดา หลัวซิวเองก็เคยประมือกับเซียนชั้นฟ้ามามากมายหลายคน ในนั้นมีเซียนชั้นฟ้าขั้นชั้นหนึ่งอยู่จำนวนไม่น้อย แต่กลับล้วนมองไม่ออกที่ความเป็นมาของเขา

จากจุดนี้ทำให้เห็นได้ว่า ชูวหงมีการสัมผัสอันไวต่อกลิ่นที่แข็งแกร่ง เขาสัมผัสได้แม้กระทั่งว่าบนร่างของคนผู้นี้มีตราประทับคุกเซียนอยู่หรือไม่

ในวันเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา แม้ว่าจะออกจากโลกคุกเซียนไปสู่โลกภายนอกไม่ได้ แต่หลังจากทางเข้าคุกเซียนถูกค้นพบ ก็ได้มีผู้คนจากภายนอกมากมายเข้ามายังโลกคุกเซียนแห่งนี้ ดังนั้นเรื่องราวในโลกภายนอก ก็ใช่ว่าชูวหงจะไม่รู้เลยสักนิด

เขารู้ว่าสมัยประเทศเซียนได้สิ้นสุดลงแล้ว และยังรู้อีกว่าหลังจากสมัยประเทศเซียน ก็ไม่มีร่องรอยของเซียนในดาราจักรวาลอีกเลย

บุคคลที่แม้แต่บัลลังก์เซียนก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน กลับสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งแดนเซียนชั้นฟ้าขั้นชั้นหนึ่งได้อย่างสบาย ความสามารถเช่นนี้ แม้แต่ชูวหงเองก็ยังถูกทำให้รู้สึกสั่นคลอน

“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว”

สำหรับคนอย่างชูวหง หลัวซิวไม่อยากจะเปลืองน้ำลายด้วยเลยสักนิด เห็นการย่ำยีสตรีธรรมดาเป็นความสุข คนเช่นนี้มีชีวิตอยู่นับเป็นความอัปยศของคำว่าเซียนชั้นฟ้า!

เงาร่างของหลัวซิวค่อย ๆ หายไป มันทำให้รูม่านตาของชูวหงหดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขาสัมผัสไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายหายไปได้อย่างไร หากเป็นความเร็ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ หากเป็นเทเลพอร์ต ก็เป็นไปไม่ได้ที่ปริภูมิจะไม่มีระลอกคลื่น

ทว่าเศษเงาที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้เพียงสายหนึ่งได้สลายไป กลับไม่มีร่องรอยและระลอกคลื่นปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

ชูวหงย่อมไม่คิดอยู่แล้วว่าความสำเร็จในแง่ความเร็วและกฎปริภูมิของอีกฝ่ายอยู่เหนือแดนเซียนชั้นฟ้า ดังนั้นเขาจึงมั่นใจได้ว่า อีกฝ่ายจักต้องฝึกฝนวิชาพิเศษบางอย่าง ที่สามารถซ่อนร่องรอยทั้งหมดและระลอกคลื่นได้

ต่อให้เป็นเช่นนั้น ชูวหงก็มิได้ร้อนใจเลยสักนิด เขายืนอยู่กลางอากาศอย่างสงบ และกล่าวเรียบ ๆ : “เจ้ารู้ถึงความแตกสูงสุดระหว่างเซียนชั้นฟ้าขั้นสุดยอดกับขั้นธรรมดาหรือไม่ก็ขั้นชั้นหนึ่งหรือไม่?”

อนัตตาโดยรอบมีเพียงความสงบ ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา

ชูวหงมิได้ใส่ใจอะไรสำหรับเรื่องนี้ เพียงแค่พูดเองเออเอง “สาเหตุที่เซียนชั้นฟ้าขั้นสุดยอดถูกยกย่องให้เป็นสุดยอด นั่นก็เพราะในแดนเซียนชั้นฟ้า ข้าได้ก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว!”

“ปัง!

เสียงดังสนั่น ระลอกคลื่นวงกลมที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าขยายออกไปเป็นวงกว้าง เงาร่างของหลัวซิวปรากฏขึ้นที่ด้านซ้ายของชูวหงพร้อมต่อยออกไปหนึ่งหมัด ทว่าหมัดของเขา กลับถูกมือซ้ายของชูวหงคว้าเอาไว้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ