มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3203

กระแสพลังคลื่นวิญญาณกลุ่มนี้มิได้แข็งแกร่งนัก หลัวซิวใช้พลังวิญญาณแปลงเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่ง คว้าตรงเข้าไปหาลำแสงสีแดงสดที่แทงเข้ามา

ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ยกเท้าข้างหนึ่งเตะออกไป โครงกระดูกที่ถูกตอกอยู่บนหน้าผาถูกเตะแตกกระจาย

โฮก! โฮก! โฮก!......

หลังจากลำแสงสีแดงถูกหลัวซิวจับเอาไว้ ห้วงความคิดวิญญาณที่เต็มไปด้วยเสียงร้องคำรามดังลอยมาไม่ขาดสาย

ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเซียน ตัวสำนึกพลังวิญญาณสามารถแปรผันเป็นสสาร ยังเรียกได้ว่าเป็นพลังวิญญาณมีรูปร่าง

มือใหญ่พลังวิญญาณ ก็เป็นเหมือนฝ่ามือที่แท้จริง เฉกเช่นกรงขัง กักขังลำแสงสีแดงสดนั่นเอาไว้

จับจ้องมองไป หลัวซิวพบว่า ลำแสงสีแดงสดสายนี้ เป็นเหมือนดั่งแก้วสีแดงเลือด ที่เต็มไปด้วยไอสังหารอันน่าทึ่งกับห้วงความคิดต่าง ๆ ที่ยุ่งเหยิง

“ฆ่า......”

“กลืนมันเสีย กินมันสิ!”

“......”

ไม่นานหลัวซิวก็ได้ขมวดคิ้ว เขาพบว่าแสงสีแดงเลือดเล็ก ๆ แผ่นนี้ เหมือนจะเป็นชิ้นส่วนของช่องจิตที่แตกกระจายดวงหนึ่ง ห้วงความคิดที่อยู่ด้านในนั้นยุ่งเหยิงมาก ไม่มีห้วงความคิดที่เป็นของตัวเองเลย

“เพล้ง!”

มือใหญ่พลังวิญญาณออกแรงเล็กน้อย บีบชิ้นส่วนช่องจิตนี้จนแตกสลาย ตัวสำนึกของหลัวซิวไขว่คว้า ก็ไม่ได้ข้ามูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ เลย ห้วงความคิดที่ยุ่งเหยิงในช่องจิต ไม่มีความทรงจำใด ๆ อยู่เลย

ด้านตัวสำนึกพลังวิญญาณ หลัวซิวแข็งแกร่งยิ่งกว่าราชาเซียนส่วนมากเสียอีก การโจมตีในเมื่อสักครู่กะทันหันเกินไป สำหรับเขาแล้วสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย แต่หากเป็นมนุษย์อมตะหรือเซียนดินคนหนึ่ง เป็นไปได้มากว่าวิญญาณดั้งเดิมจะได้รับการกระแทก หากถูกห้วงความคิดที่ยุ่งเหยิงพวกนั้นกัดกร่อนความทรงจำ ผลที่ตามมามันอันตรายอย่างยิ่ง

มนุษย์อมตะกับเซียนดินยังเป็นเช่นนั้นเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาประมุขเต๋ามกุฎเต๋าในโลกามนุษย์ โชคดีที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครบุกเข้าสู่ส่วนลึกของแดนบรรพกาล มิเช่นนั้นก็คงไม่รู้ว่าต้องมีคนตายไปมากมายแค่ไหน

“ครืน......”

ทันใดนั้น ทั่วทั้งท้องฟ้าเหนือซากสนามรบได้มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนดั่งสายฟ้าคำราม

จากนั้นห่าฝนราวกับหมึกดำ ก็ได้โหมกระหน่ำเทลงมา

แสงเซียนกระจายออกมาทั่วร่างของหลัวซิว กีดกันเม็ดฝนสีดำเอาไว้ด้านนอก ทั่วทั้งฟ้าดินในยามนี้ ล้วนถูกความดำไร้สิ้นสุดปกคลุม มืดครึ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว

เงยหน้ามองไป บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยรอยร้าวเหมือนใยแมงมุม เหมือนได้มีวังวนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น หยาดฝนสีดำตกเปาะแปะกระทบแสงเซียนสีทอง ราวกับกระบี่หมื่นเล่มกระทบกัน

“เป็นพลังที่ร้ายกาจยิ่งนัก”

หลัวซิวสัมผัสได้ว่า ในเม็ดฝนสีดำพวกนี้แฝงไว้ด้วยชี่ฉกรรจ์กับชี่มรณะอันเข้มข้น เม็ดฝนกระทบลงบนแสงเซียนที่อยู่บนร่างของเขา ประกอบไปด้วยแรงกระแทกที่รุนแรง

เขาไม่กล้าให้เม็ดฝนสีดำนั่นตกสู่ร่างของตนเอง เพราะสถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดเกินไป มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับความลับของยุคฮวงกู่

เรื่องในอดีตก่อนยุคฮวงกู่ แม้แต่มกุฎเซียนจักรพรรดิเซียนในยุคหลังต่างก็ไม่สามารถย้อนกลับไปสืบเสาะได้ ทั้งหมดนี้หลัวซิวต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง เพราะอย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับบรรดาผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคบรรพกาล เขาอ่อนแอเหมือนดั่งมดตัวเล็ก ๆ

“ปัง! ปัง! ปัง!......”

เม็ดฝนสีดำกระแทกลงบนแสงเซียนสีทองบนร่างของหลัวซิว เสียงดังอู้อี้ไร้ที่เปรียบ

แม้จะอาศัยพลังอมตะสรรพวิถีล้วนว้าง ก็ไม่สามารถสลายชี่มรณะกับชี่ฉกรรจ์ที่แฝงอยู่ในหยาดฝนได้

หลัวซิววางมือทั้งสองข้างลงบนจุดตันเถียน มือวาดพลังตราประทับ วิชาตราประทับดวงหนึ่งถูกวาดขึ้นมา

“พรึบ!”

ทันใดนั้น แสงสีท้องที่อยู่บนร่างของเขาพลันแปรผัน ตรีภพมวลใหญ่โหมกระหน่ำออกมา ภาพไท่จี๋ลอยอยู่ในตรีภพ พลังคุ้มกันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ในตรีภพ ไร้ลักษณ์แปรผันสรรพสิ่ง เม็ดฝนสีดำตำลงมาไม่ขาดสาย เหมือนดังมีดวงดารามากมายกระแทกอย่างต่อเนื่อง

เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นภัณฑ์เซียนที่เขาฝึกเซ่นเอง แตกต่างไปจากดาบหักเซียนกับเหล็กเซียนชั้นกล้า

ปลดปล่อยตัวสำนึก ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หลัวซิวเดินเข้าไปยังส่วนลึกของซากสนามรบแห่งนี้

ในห้องฟ้า วังวนขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ได้หายไปแล้ว มันปรากฏขึ้นมาเพราะเหตุใด หลัวซิวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

ผ่านไปไม่นานนัก หลัวซิวก็มองเห็นหุบเหวขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ราวกับช่องเขาเหวลึก ทอดขวางอยู่ด้านหน้า

เขาหยุดฝีเท้าอยู่ที่เดิม สัมผัสได้ถึงความสั่นสะท้านที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ

“ช่างเป็นกระแสพลังที่น่ากลัวยิ่งนัก......”

หุบเหวแห่งนี้ เหมือนเกิดขึ้นมาจากการจู่โจมของผู้แข็งแกร่ง แม้จะผ่านมาเป็นเวลานานแสนนาน ก็ยังมีไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุดแผ่ซ่านอยู่เหมือนเดิม ทำให้หลัวซิวไม่กล้าขยับเข้าใกล้ไปกว่านี้

“ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเซียนสูงสุดก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้ หรือจะเป็นมกุฎเซียน หรือไม่ก็จักรพรรดิเซียน? ......”

หลัวซิวรู้สึกว่ามีความเย็นยะเยือกผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ เขาคิดว่าอันตรายในแดนบรรพกาล น่ากลัวกว่าที่เขาคาดเอาไว้เสียอีก

“สถานที่ที่ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไร้เทียมทานเคยต่อสู้กัน”

หลัวซิวไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาหันหลังจากไปทันที แม้จะต้องการสืบเสาะความลับของแดนบรรพกาล เขาก็ไม่มีทางบุกเข้าไปยังตรงนี้ เขายอมเสียเวลาอ้อมไปดีกว่า

เขาไม่สงสัยเลยว่าหากตนเองเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว จักต้องถูกจิตสังหารที่ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไร้เทียมทานหลงเหลือเอาไว้ฉีกเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน อย่าว่าแต่เขา ต่อให้ประมุขเซียนมาเองก็ไร้ประโยชน์

จนกระทั่งได้จากมาไกลมาก หลัวซิวมองไกลออกไปทางด้านหลัง เขายังคงรู้สึกหวาดผวาอยู่เล็กน้อย

เหมือนว่าในอนัตตา เขาได้มองเห็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งยืนอยู่อย่างน่าเกรงขาม แกร่งดาบในมือ แสงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวได้กลืนกินฟ้าดิน หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยที่ไม่มอดดับ

อย่างไม่รู้ตัว เวลาได้ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว หลัวซิวไม่ได้พบกับเหตุการณ์แปลก ๆ อีก เดินอ้อมไป จากหุบเหวลึกในเมื่อสักครู่ได้สำเร็จ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ