“จ้าวหลิน มีก็ลูกเขยบ้านของเธอนั่นแหละ มาอยู่ตั้งนานแล้ว ทำไมป่านนี้ยังหางานทำไม่ได้เสียที?”
และในทันทีนั้นจ้าวเหมยเหมยก็เอ่ยปากขึ้นมา บรรดาคนทั้งหลายก็พุ่งเป้าไปที่มู่เซิ่ง
จ้าวหลินหน้าเปลี่ยนสีขึ้นในทันที มีรู้สึกให้หงุดหงิดไม่สบาย แม้มู่เซิ่งก็ยังขมวดคิ้วย่น ยายคนนี้นี่ เพิ่งโดนเขาตบหน้าไปทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังจะเริ่มมุ่งหาเรื่องอะไรใส่มาหาเขาอีก?
ส่วนจ้าวลิ่วป๋อต่อหน้าหมู่ญาติมากมาย ฟังเรื่องประชดเหยียดหยามกันอยู่ ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปแขวนไว้ไหนดี สีหน้าที่เหี่ยวย่น บัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวเขียว
ต่างก็เป็นลูกเขยด้วยกัน ทำไมลูกเขยของจ้าวเหมยเหมย เทียบกับลูกเขยของจ้าวหลินแล้วห่างกันมากขนาดนั้น?
“จ้าวเหมยเหมย ลูกเขยบ้านฉันเป็นยังไง เธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วไม่ใช่หรือ?” จ้าวหลินชายตามองไป สะบัดเสียงฮึเบา ๆ
“แก-----”
โดนสะกิดแผลเข้าที่ใจ จ้าวเหมยเหมยให้รู้สึกโกรธขึ้นมา แต่ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าคนจำนวนมาก ย้ายสายตาออก เปลี่ยนเรื่องพูดไปว่า “คุณลูกเขย คนเขาไม่มีงาน สงสัยจะหางานไม่เป็น เธอดูเขาวัน ๆ เอาแต่เกาะชายกระโปรงกิน ก็น่าสงสารอยู่นะ หรือไม่ เธอก็ให้เขาไปช่วยเธอเก็บนู่นจัดนี่ในบริษัทก็ได้นี่”
เฉินเสวียลี่ไหนเลยจะฟังไม่รู้ถึงความหมายของจ้าวเหมยเหมย รีบส่ายหน้าตอบไปว่า “คุณป้าครับ บริษัทเราถึงจะมีรับคนดูแลเก็บกวาด แต่ไม่ใช่จะรับใครก็ได้นะครับ อย่างน้อยก็ต้องระดับมีปริญญาขึ้นไป”
พูดเสร็จ เขายังมองไปที่มู่เซิ่งด้วยสายตาวอนขออภัย “ต้องขอโทษนะ บริษัทเราไม่รับเศษขยะ”
มู่เซิ่งผงกหัวเซื่อง ๆ เรื่องต่อปากต่อคำ เขาไม่เคยใส่ใจเอาเลย
“แต่ถึงยังไงก็เถอะ การหมกอยู่กับบ้านผ่านไปวัน ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเลยนะ”
“นั่นสิ ผู้ชายทั้งแท่ง จะให้เมียตัวเองเลี้ยงไปวัน ๆ ได้ยังไงใช่มั้ย ฉันก็มีรู้จักพวกหัวหน้าคนงานตามไซท์งานอยู่ ถ้าคุณจะหางานขนอิฐขนปูนทรายทำ ฉันก็พอช่วยดูให้คุณได้นะ วัน ๆ จะหาสักร้อยสองร้อยก็คงจะได้อยู่นะ”
เหล่าบรรดาญาติต่างพูดอะไรกันไปต่าง ๆ นา ๆ ในคำที่พูด การสบประมาท แสดงออกชัดไม่มีสงวน
สีหน้าเจียงหว่านหนาวเยือก เธอคิดไม่ถึงเลย พวกที่เป็นญาติเหล่านี้ กลับจะดูถูกมู่เซิ่งกันถึงขนาดนี้ รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก วันนี้ก็ไม่ควรที่จะมางานเลี้ยงฉลองนี้เลย
“คุณตาคะ นี่เป็นของขวัญที่หนูเตรียมมาให้คุณตา ตอนนี้ที่บ้านหนูมีเรื่องต้องทำ พวกเราจำต้องขอกลับก่อนแล้ว”
เจียงหว่านได้หยิบเอากล่องที่สวยประณีตออกมาจากกระเป๋า วางลงบนโต๊ะ
ของในกล่องนั้นเป็นของที่มีค่าสูงมาก มันคือ ‘ตังถั่งเฉ้า’ ราคาท้องตลาดเวลานี้ อย่าพูดเลยว่ากี่สิบหมื่น (แสน)
จ้าวลิ่วป๋อถึงกับจ้องตาค้าง
“กินข้าว มากินข้าวกันเถอะ อย่าเพิ่งไปคุยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย”
เห็นหลานสาวบอกว่าจะรีบกลับ จ้าวลิ่วป๋อรีบออกมาพูดคลายความตึงเครียด พูดชักชวนกับทุกคน
หลายคำของคำพูดนั้นจะฟังไม่ได้เอาเลย แต่มู่เซิ่งดูเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว อะไรกินได้ กิน อะไรน่าดื่ม ดื่ม เวลานี้ในความคิดของเขา ล้วนจมอยู่กับเรื่องตัวยาที่ใช้ทำยาเม็ดฟื้นฟูเม็ดที่สอง
ได้ยาเม็ดที่หนึ่งไปแล้ว รักษาและแก้อาการเกร็งแข็งไปทั้งตัวของคุณพ่อของเขาไปได้แล้ว แต่ทว่า จะต้องทำเม็ดที่สองออกมา จึงจะรักษาให้คุณพ่อหายจากอาการป่วยได้อย่างเด็ดขาด
สภาพของเขาในตอนนี้ เขานอกจากได้ตะขาบมาจากเยี่ยนจิงแล้ว ก็ยังขาดสมุนไพรอีกหลายตัว
“ไอ้ขยะนี่ทำไมรู้แต่จะกิน เศษเดนจริง ๆ ” เห็นมู่เซิ่งไม่พูดไม่จา ทันทีนั้นก็มีคนพูดแดกดันกันขึ้นมา
“ฉันว่าเขาคงไม่เคยได้กินของดี ๆ มาเลยมั้ง แค่ก็น่าจะใช่นะ วัน ๆ ก็ทำครัวบ้าน ๆ จะไปกินของดี ๆ อะไรกันได้”
“ฮ่า ๆ ๆ น่าสงสารจัง.....”
ญาติ ๆ หลายคนหัวร่อต่อกระซิกกันเบา ๆ
พวกเขาต่างคนต่างก็ชมเชยเฉินเสวียลี่กัน ส่วนมู่เซิ่ง กลับกลายเป็นหินรองขาให้พวกเขายกสูงตัวเอง
ในขณะที่ขนมเค้กกำลังถูกเข็นเข้ามา เตรียมจัดทำการตัดอยู่นั้น ประตูใหญ่ถูกเปิดออกในทันใดนั้น ชายหนุ่มในชุดสากลรองเท้าหนังมันขลับ เดินเข้าประตูมา
หนึ่งในนั้นอยู่ในชุดสากลสีขาว เป็นชายหนุ่มหุ่นสูงชะลูดพูดขึ้นว่า “ขออนุญาตเรียนถามครับ นี่ใช่งานแซยิดของท่านจ้าวลิ่วป๋อนะครับ?”
“ไม่ผิด ผมก็คือจ้าวลิ่วป๋อ พวกคุณคือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง
Thanks...
มีต่อมั้ยครับ...