ปรมาจารย์เตียวนั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินปรมาจารย์ก่วนพูดเช่นนี้ ก็ยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า “ศิษย์พี่ก่วนพูดถูก แม้ปืนนี้มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลานุภาพของวิชาที่แท้จริง ก็เปราะบางเหมือนเดิม จัดการคนทั่วไปยังพอได้ แต่สำหรับพวกเรากลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
เมื่อสิ้นเสียง สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปทันที
สีหน้าเหมียวหงอวี่ก็ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์ก่วนจะไม่ไว้หน้าขนาดนี้ ถ้าคนอื่นเป็นคนพูดประโยคนี้ เขาคงเอาปืนไรเฟิลยิงอัดไปนานแล้ว ดูสิว่าหัวนายกับลูกปืนฉันอะไรจะแข็งกว่ากัน
แต่ปรมาจารย์ก่วนกับปรมาจารย์เตียวเป็นปรมาจารย์บู๊ของตระกูล ล่วงเกินไม่ได้ ดังนั้นเขาทำได้เพียงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ทักษะปืนของฉันจะสู้ปรมาจารย์ก่วนได้ยังไงล่ะ อย่าว่าแต่เมืองจิ่วโถวเลย ทั้งประเทศตงหัวก็มีน้อยคนที่จะเทียบกับปรมาจารย์ก่วนได้”
ปรมาจารย์ก่วนกับปรมาจารย์เตียวทำหน้าจริงจัง ใบหน้ามีความยโส
ชื่อเสียงของพวกเขาสองคน ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงลอยๆ เท่านั้น
ดึงใครคนหนึ่งออกมา พละกำลังก็อยู่ในระดับปรมาจารย์บู๊สูงสุด ถึงกระทั่งที่ว่าทั้งสองคนร่วมมือกันและเสริมด้วยวิชา สามารถเทียบกับนักเสวียนได้เลย!
แน่นอนว่าเทียบกับนักเสวียนได้ เป็นแค่ฉายาของพวกเขาเอง ส่วนจะเทียบกันได้หรือไม่ จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เคยเจอเลย
ปรมาจารย์เตียวโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน แม้ฝีมือของเราอยู่ในระดับปรมาจารย์บู๊สูงสุด แต่เหนือปรมาจารย์บู๊ก็ยังมีแดนอื่น นายไม่ได้ยินเหรอว่าช่วงนี้มีผู้ฝึกฝนหัวกะทิปรากฏตัวในเมืองเยียนจิง ใช้พละกำลังของคนคนเดียว กดดันนักเสวียนของสำนักมือโลหิต เราเทียบกับเขายังห่างชั้นกันมาก”
ปรมาจารย์ก่วนพยักหน้า แต่ความได้ใจบนใบหน้าปรากฏออกมาชัดเจน
พวกเขาสองคนเป็นปรมาจารย์บู๊ แต่กลับเอาตัวเองไปเทียบกับนักเสวียน นั่นแสดงว่าพวกเขาเอาตัวเองมาอยู่ในระดับเดียวกับนักเสวียน ดูถูกดูแคลนพวกปรมาจารย์บู๊เหล่านั้น
“อะไรกันล่ะ เส้นทางวิถีบู๊ไม่สิ้นสุด ไม่แน่วันใดวันหนึ่งปรมาจารย์ทั้งสองท่านอาจทะลุระดับถึงนักเสวียนก็ได้” เหมียวหงอวี่พูดเยินยออย่างหน้าไม่อาย
ต่อไปเขาต้องกลับไปแก่งแย่งตำแหน่งเจ้าบ้าน ยังต้องพึ่งพาปรมาจารย์สองคนนี้ แน่นอนว่าต้องเยินยอให้พวกเขาพอใจ
“ชมเกินไปแล้วๆ” ปรมาจารย์ทั้งสองคนโบกมือพัลวัน แต่อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้
แม้ปากพูดว่าอยู่ในระดับปรมาจารย์บู๊สูงสุดแล้ว ห่างจากนักเสวียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่พวกเขารู้ว่านักเสวียนยากขนาดไหน แดนที่ห่างกันเพียงนิดเดียว คนจำนวนมากใช้เวลาและกำลังทั้งชีวิต ก็ยังไม่สามารถไปถึงได้
ทว่าถึงรู้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อพูดออกมาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ตรงมุมของเรือ เหยาเผิงมองทุกคนคุยกันแล้วพูดกับมู่เซิ่งเสียงเบาว่า “ลูกพี่ พวกเขาหมายถึงพี่หรือเปล่า กล้าพูดถึงพี่ลับหลัง เทียบกับนักเสวียนอะไรกัน ถ้าพี่เดินออกไปตอนนี้ ผมรับรองเลยว่าตาเฒ่าสองคนนั้นต้องตกใจจนไม่กล้าทำอะไรแน่ๆ”
มู่เซิ่งยิ้มแล้วส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
เขาไม่สนใจเรื่องแก่งแย่งชื่อเสียง ทำตัวให้เป็นจุดสนใจ ขอแค่การเดินทางครั้งนี้ทำให้เขาได้ของที่อยากได้ก็พอแล้ว
ความเร็วของเรือเร็วมาก ไม่นานเรือสำราญด้านหลังก็กลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ หายลับไปจากสายตา และเรือลำนี้ก็มุ่งหน้ามายังอีกเกาะหนึ่ง
เกาะแห่งนี้ไม่ใหญ่ ไม่ถึงหนึ่งในสามของเกาะสองใจ มีต้นไม้นานาชนิดอยู่บนเกาะ มีท่าเรือธรรมดาๆ อยู่ไม่กี่ท่า เหมือนเกาะร้างที่ตัดขาดจากโลกภายนอก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง
Thanks...
มีต่อมั้ยครับ...