หัวหน้าแก๊งอันธพาลหยิบขวดเหล้าบนโต๊ะขึ้นมา และพุ่งใส่ทันที พร้อมทั้งพูดอย่างโกรธเคือง “ไอ้กระจอกอย่างแกยังกล้าจองหองอวดดีได้ขนาดนี้อีก? กูว่ามึงแทบไม่รู้จักว่าคำตายมันสะกดยังไงมั้ง!”
อันธพาลคนนั้นลงมืออย่างรวดเร็ว มองแวบเดียวก็รู้ว่าฝึกวรยุทธิ์แบบบ้านๆ มา จังหวะที่สิ้นเสียงนั้น ขวดเหล้าที่อยู่ในมือก็ปรากฏอยู่ด้านหน้ามู่เซิ่งเรียบร้อยแล้ว
ส่วนมู่เซิ่งนั้นก็ยืนอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ไร้การเคลื่อนไหว
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของหัวหน้าแก๊ง โหดเหี้ยมอย่างผิดปกติ พลันแหกปากตะโกนเสียงดังลั่น “เชี่ย ในเมื่อมึงรนหาที่ตาย กูจะสงเคราะห์ให้มึงไปสบายเอง!”
ขวดเหล้าโบกพลิ้วดั่งสายลม รวดเร็วและรุนแรงมาก มุมปากของอันธพาล เผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายมากขึ้นกว่าเดิม ในสายตาของเขา ถ้าไอ้สวะมันโดนขวดเหล้าตีหัว เกรงว่าไม่ตาย ก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส
อย่างไรก็ตาม ภาพที่เขาละเมอเพ้อพกไปเองกลับไม่ได้เกิดขึ้น
มุมปากของมู่เซิ่งกระตุกรอยยิ้มอันเรียบเฉย พร้อมทั้งหันข้างลำตัว และพุ่งกำปั้นตรงปลายคางของไอ้นักเลงเร็วกว่าขวดเหล้าที่จะกระทบเข้าหาเพียงชั่วพริบตา
นักเลงที่เพิ่งจะส่งเสียงพูดจองหองเมื่อวินาทีก่อนใบหน้าเงียบนิ่งขึ้นมาทันที ร่างกายแข็งทื่อ ร่างกายหงายหลัง พร้อมทั้งล้มลงและลอยกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง
ปึก!
จนกระแทกเข้าโต๊ะ พลันมีเศษไม้แตกดั่งเกล็ดหิมะ ร่วงหล่นลงมาอยู่ตลอด
แค่สะบัดกำปั้นออกมาครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นหวางกุ้ยหรือพวกนักเลงหัวไม้ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างตกตะลึงกันเป็นแถบ! เชี่ย ไอ้กระจอกคนนี้ ที่แท้มันก็ต่อสู้เก่งขนาดนี้เชียวเหรอวะ?
มีแค่เจียงหว่านคนเดียวที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนสีหน้าเริ่มสู้ดีขึ้นมาบ้าง เธอเคยเห็นมู่เซิ่งต่อสู้มาแล้ว แต่ถึงกระนั้น สีหน้ายังคงปรากฏความแปลกใจอย่างแรงกล้าออกมาอยู่บ้าง
ไอ้อันธพาลสองคนที่ยืนขนาบต่างถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ
“ฮ่าๆ มู่เซิ่ง กูเดาไว้ตั้งแต่แรกว่ามึงต่อสู้เก่ง” หวางกุ้ยกัดฟัน พลันพูดอย่างต่ำช้า “มึงคิดว่ากูไม่รู้ความเป็นมาของมึงเหรอวะ? ที่ Royal Club ที่กูยอมปล่อยมึงให้รอดไปสักครั้งในตอนแรกนั้น วันนี้ มึงไม่มีโอกาสรอดซ้ำสองได้อีกแล้ว!”
“ไอ้เวรอย่างมึงจะสู้เก่งขนาดไหน แล้วจะสู้กับคนทั้งกลุ่มได้เหรอวะ?”
เมื่อสิ้นเสียง พลันมีเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบกลุ่มหนึ่งดังขึ้นมา ราวกับมีคนหนึ่งร้อยคนปรากฏตัวออกมาจากอากาศ จากทั่วทุกทิศทุกทางของฟาร์ม พลางทำให้ทั้งห้องอาหารเบียดเสียดยัดเยียดจนน้ำไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้อย่างฉับพลัน
เจียงหว่านหน้าซีดราวน้ำค้างแข็ง ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้มีคนเยอะแถมเพิ่มได้มากมายขนาดนี้?”
“มู่เซิ่ง เราควรจะทำอย่างไรดี?” การถูกคนจำนวนมากล้อมหน้าล้อมหลัง เจียงหว่านอดใจไม่ไหวจนดึงชายเสื้อของมู่เซิ่งไว้แน่น รู้สึกตื่นเต้นมาก
เจียงหว่านเป็นคนที่พ่อแม่คอยประคบประหงมมาตั้งแต่เกิด แล้วเอาเวลาไหนที่เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประเภทนี้?
“เฮียเฮยเจียว ตรงนี้ ผมอยู่ตรงนี้!”
หวางกุ้ยโบกมือให้กับผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำท่ามกลางกลุ่มคนนั้น ด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างเต็มที่
ช่างโชคดีที่เขาเป็นคนมีกลยุทธ์ที่ดี สามารถคาดการณ์ไว้ว่ามู่เซิ่งสู้เก่ง เจียงมู่หลงเชิญเฮยเจียวมาด้วยในเวลานี้ ย่อมไร้ข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน
ขณะนั้น เฮยเจียวเดินออกมาจากกลุ่มคน และยืนอยู่ด้านหน้าของหวางกุ้ย ซึ่งระยะห่างจากมู่เซิ่ง เพียงแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้นเอง
เขาหันหน้าเหล่มองมู่เซิ่งแวบหนึ่ง จนเกิดความขมขื่นในใจจนอธิบายไม่ถูก
หวางชิ่งคุนโทรศัพท์มาหาท่านหลงเพื่อขอยืมคน แต่เรื่องนี้ ก็ถูกสวีเจ๋อปิงห้ามไว้ตั้งแต่แรกแล้ว! ท่านหลงจะกล้าเป็นปฏิปักษ์ต่อตระกูลมู่ได้ยังไง ดังนั้นจึงกำชับให้เฮยเจียวเข้าข้างมู่เซิ่งเอาไว้ อย่าได้จำผิดคนเป็นอันขาด
ถึงแม้เฮยเจียวไม่รู้ว่ามู่เซิ่งมีอำนาจมากมายขนาดนี้มาจากไหน แต่สถานการณ์ในเวลานี้ การช่วยเหลือมู่เซิ่งหรือหวางกุ้ย เขามีสิทธิ์เลือกได้ด้วยเหรอ?
“มู่เซิ่ง วิ่งหนีเร็ว คุณรีบวิ่งหนีเถอะ!”
เจียงหว่านหน้าซีดเผือด เตรียมผลักมู่เซิ่งให้ออกไปทางด้านนอก ทว่าวินาทีนั้นกลับถูกกลุ่มคนล้อมหน้าล้อมหลังดักทางไว้หมด แทบไม่มีทางหนีรอด
วินาทีนั้นเอง ดวงตาของเธอตกใจจนหลับตาลง ราวกับเธอมองเห็น ภาพมู่เซิ่งเข้ามาปกป้องเธอจากนั้นล้มลงจนเลือดไหลนองไปทั่ว
มุมปากมู่เซิ่งมีแต่รอยยิ้ม พลางจ้องมองคนเป็นร้อยที่อยู่ทางด้านหน้า ไร้ความหวาดกลัวสักนิด
“พี่ใหญ่” เฮยเจียวเดินมาอยู่ทางด้านหน้ามู่เซิ่ง พลางก้มศีรษะลงและกล่าวอย่างพินอบพิเทา
“เฮียเฮยเจียว ผมกับเฮียสามารถเรียกขานพี่น้องได้ ถึงแม้ว่าพี่ชายผมเชิญเฮียมา เฮียไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจขนาดนั้นครับ”
หวางกุ้ยคิดว่าเรียกเขา จนรู้สึกได้หน้าเพิ่มเป็นเท่าตัว พลางพูดเสียงดังลั่น “เฮียเฮยเจียว ครั้งนี้ที่ผมเรียกเฮียมา ก็เพื่อสู้กับมัน! สู้กับไอ้กระจอกนั่น!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง
Thanks...
มีต่อมั้ยครับ...