หากเป็นเมื่อก่อน เฮยเจียวไม่มีวันแตะต้องหวางกุ้ยอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเขาบริหารบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งก็ตาม รายได้ต่อปีไม่สามารถเทียบเคียงเจียงมู่หลง แต่พี่ชายเขาทำงานให้กับผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง ในเมืองเยียนจิง ถ้าขืนไปแตะต้องเขา เกรงว่าตนเองก็ยากยิ่งที่จะหนีรอดจากโทษแห่งความตาย
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ท่านหลงได้มีคำสั่งลงมา ถึงแม้ว่าในใจจะไม่เข้าใจท่านหลงว่าเหตุใดถึงได้ให้ความเคารพต่อไอ้กระจอกคนนี้ถึงเพียงนี้ แต่นี่เป็นคำสั่งของท่านหลงโดยตรง เขาจำเป็นต้องทำตาม
เฮยเจียวไม่พูดอะไร สายตาเหล่มาทางมู่เซิ่ง รอคอยให้เขาตัดสินใจ
หวางกุ้ยเห็นอีกฝ่ายเงียบขรึม จึงคิดว่าเขาเกิดอาการกลัว มุมปากเผยรอยยิ้มสะใจออกมา “มู่เซิ่ง เมื่อก่อนฉันไม่รู้ว่าแกมีความสามารถยอดเยี่ยมมากมายขนาดนี้ ดังนั้นเลยล่วงเกินแก ตอนนี้ฉันรู้ตัวว่าทำผิดไปแล้ว ต่อไปพวกเราสงบศึกไม่รุกรานกัน เป็นไง?”
จำต้องยอมรับเลยว่า ความสามารถของไอ้กระจอกที่อยู่ด้านหน้า ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก เวลานี้เมื่อพูดคำพูดนี้ออกไป ก็เพื่อหาข้ออ้างให้หลุดรอดสถานการณ์อันย่ำแย่จากมู่เซิ่ง
มู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้น พร้อมทั้งเดินมุ่งหน้ามาทางหวางกุ้ย
หวางกุ้ยตกใจจนถอยกรูด “จะทำอะไร? หรือว่าแกยังคิดอยากจะลงมือกับฉันให้ได้ใช่มั้ย?”
เฮยเจียวที่อยู่ด้านหลังของเขาโบกมือไปมา จากนั้นจึงมีผู้ชายสองคนเดินเข้ามาทันควัน จัดการหิ้วปีกหวางกุ้ยทางซ้ายและขวา จนทำให้ไร้ซึ่งการขัดขืน
มู่เซิ่งหยุดฝีเท้าลง พลางยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าของหวางกุ้ย ทันใดนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า และจัดการกดโทรออกทันที
“ท่านสวี จัดการเรื่องไปถึงไหนแล้ว?” มู่เซิ่งเอ่ยถามตรงไปตรงมา
“กำลังทำตามที่คุณชายมู่ได้กำชับไว้ครับ” โทนน้ำเสียงสวีเจ๋อปิงแสดงความเคารพเป็นอย่างยิ่ง
“OK งั้นก็เร็วหน่อยนะ”
“ครับคุณชาย”
เมื่อวางสายแล้ว
มู่เซิ่งเหล่ตามองหวางกุ้ยแวบหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ พลันพูดออกมา “OKแล้วแหละ ตอนนี้พี่ชายของแก ก็กลายเป็นปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปแล้ว”
คำพูดที่พรรณนาออกมาอย่างเรียบเฉย ราวกับคำพูดในประโยคนั้น ได้ตัดสินใจไว้เป็นอันเรียบร้อยแล้ว
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ!” หวางกุ้ยหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง กระทั่งลืมไปเสียสนิทว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสภาพโดนคนหิ้วปีกอยู่ “ฉันอยากจะหัวเราะให้ตายห่าไปจริงๆ มึงโทรหาใครวะ? มึงรู้มั้ยว่าพี่กูทำงานให้กับคนในตระกูลไหนมั้ยวะ? กับอีแค่โทรศัพท์ไปแค่ครั้งเดียวก็สามารถยึดอำนาจพี่ชายกูได้เลยเหรอวะ? ฮ่าๆ ที่เล่าขานกันมาก็ไม่ผิดสักนิด มึงนี่มันไอ้กระจอกคนหนึ่งจริงๆ!”
กระทั่งเฮยเจียวเองก็ยังเอามือปิดปากอย่างทนไม่ไหว แล้วรู้สึกว่าหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่ด้านหน้าตลกขบขันอยู่บ้าง
ขนาดท่านหลงยังทำเรื่องนี้ไม่ได้ แล้วแกทำได้เหรอ?
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นเอง
พลันมีเสียงสายเรียกเข้าโทรศัพท์ของหวางกุ้ยดังขึ้น อย่างกะทันหัน ทำให้คนแปลกใจและขนลุกซู่ไปตามๆ กัน
ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน หวางกุ้ยที่เดิมกำลังหัวเราะดังลั่นจึงหยุดอาการลงทันที เมื่อเหล่มองชื่อที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์ สีหน้าบิดเบี้ยวทันควัน
หวางชิ่งคุนพี่ชายของเขา
“ให้มันรับสิ” มู่เซิ่งพูด
“มะ...มันเป็นไปไม่ได้ แค่โทรออกไปครั้งเดียวเอง นี่มันแค่เรื่องบังเอิญ บางทีพี่ชายกูรู้ว่ากูตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ จึงต้องการมาช่วยเหลือกู” หวางกุ้ยได้แต่ส่ายหหน้าไปมาไม่หยุด พร้อมทั้งพูดปลอบใจตนเองอยู่ตลอด บริเวณหน้าผากของเขา มีเม็ดเหงื่อเย็นผุดเต็มไปทั่ว
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางกดรับสาย
ปลายสาย พลันมีเสียงอันคุ้นเคย
“ไอ้เชี่ย ไอ้เวรตะไลหวางกุ้ย มึงไปล่วงเกินผู้หลักผู้ใหญ่คนไหนมาวะ ถึงทำให้กูต้องรับเคราะห์ไปด้วย! ไอ้บัดซบอย่างมึง ก่อเรื่องฉิบหายวายวอด ไอ้สัตว์เดรัจฉาน! กูจะฆ่ามึง ทำไมกูต้องมีน้องชายอย่างมึงด้วยวะ!”
เสียงที่อยู่ปลายสายคือเสียงพี่ชายของหวางกุ้ย มีแต่ความโกรธเคืองต้องการกินเลือดกินเนื้อคนอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งหงุดหงิดและบ้าคลั่ง
และ ความหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง!
“เฮีย เฮียเป็นอะไร...” เมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย ร่างกายหวางกุ้ยสั่นเทิ้ม!
“จะอะไรล่ะ? กูเพิ่งถูกไล่ออกจากงาน บอกว่าต้นเหตุมาจากมึง! ไอ้สัตว์นรก ข้างนอกมึงจะไปอวดอ้างสรรพคุณอะไรก็ไม่สน แถมมึงยังเสือกเอาชื่อกูไปอ้างด้วย กูจะกลับไปฆ่ามึงให้ตายห่าแน่”
โครม!
ก่อนที่โทรศัพท์จะตัดสายไป ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์หล่นกระแทกกับพื้นจนมีเสียงแตกละเอียดอย่างรุนแรง
“เฮีย เฮีย!”
วินาที่นี้ หวางกุ้ยตะลึงพรึงเพริด ถ้าไม่ใช่ว่ามีผู้ชายสองคนกำลังหิ้วปีกเขาอยู่ เกรงว่าในเวลานี้ก็คงขาอ่อนยวบยาบราวขี้ผึ้ง จนล้มไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นเสียแล้ว
“มู่เซิ่ง หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องกับคุณ ไม่งั้นฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองแน่”
ขนาดตัวเธอเองก็ยังไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ โดยที่ไม่รู้ว่ามันเริ่มมาจากตอนไหน ที่มีเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัยของมู่เซิ่งถึงเพียงนี้
อีกฝั่งหนึ่ง ภายในบ้านของเจียงมู่หลง
เขารอคอยข่าวคราวจากหวางกุ้ยมาโดยตลอด รอจนสี่ทุ่มครึ่ง ก็ไม่มีโทรศัพท์โทรเข้ามา จึงกดโทรศัพท์โทรหาหวางกุ้ยอย่างอดใจไว้ไม่อยู่
โทรศัพท์ไม่มีคนรับสาย โดยปิดเครื่องอยู่ตลอดเวลา
เจียงมู่หลงไม่เชื่อเรื่องโชคลางอะไร จึงกดโทรศัพท์หาลูกน้องข้างกายของหวางกุ้ยหลายคนนั้นแทน
ทว่าโทรศัพท์ของพวกเขาก็ปิดเครื่องกันหมด มีเพียงลูกน้องคนหนึ่งที่กดรับสายคนเดียว เมื่อได้ยินว่าเขาต้องการคุยกับหวางกุ้ย พลางเกิดอาการกรีดร้องเสียงหลงออกมา ทำเหมือนเห็นผีเช่นนั้น และกดสายทิ้งทันที
“มู่หลง เรื่องไปถึงไหนแล้ว?” เฉินเสว่เอ่ยถามอย่างอดใจไม่อยู่
เธอรอไม่ไหวที่จะได้เห็นภาพเจียงหว่านลูกพี่ลูกน้องคนดีโดนข่มขืน จนชื่อเสียงป่นปี้
“น่าจะเกิดเรื่องขึ้น หวางกุ้ยมันไม่ยอมรับโทรศัพท์ผม!” เจียงมู่หลงย่นคิ้ว เขามักรู้สึกว่ามันเกิดเรื่องผิดปกติ เหมือนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา
“แต่ก็ไม่น่ามีอะไร ผมยังมีเรื่องสำรองไว้อีก” หลังจากเจียงมู่หลงตะลึงเล็กน้อย จึงเริ่มพูดต่อ “เรื่องลักลอบสอดไส้วัสดุพวกนั้น ผมไม่ได้เอาไปสับเปลี่ยนเลยครับ ถึงแม้หวางกุ้ยทำเรื่องผิดพลาด เมื่อถึงการประชุมตระกูลในครั้งที่สอง ผมจะทำลายเขาให้ชื่อเสียงป่นปี้”
“ให้เธอกล้ามาแย่งโปรเจคของบ้านเราไป คราวนี้เธอสิ้นท่าแล้ว!” เฉินเสว่ยิ้มขณะพูดออกมา
“วางใจเถอะครับคุณแม่ ต่อไปคนที่จะเป็นประมุขของตระกูลเจียง ต้องเป็นผม ยังไงก็ต้องเป็นผมแค่คนเดียวเท่านั้น!” เจียงมู่หลงพยักหน้าอย่างมั่นใจท่วมท้น
นังเจียงหว่าน มีสิทธิ์อะไรมาสู้รบตบมือกับเธอ?
ไม่นานนักเวลาก็มาถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
ท่านสามจัดประชุมประจำตระกูลขึ้นตามเดิม เรื่องนี้หากผ่านไปวันหนึ่งแล้วยังไม่สามารถแก้ไขได้ วันต่อมาเขาย่อมไม่สบายใจอยู่แล้ว
บรรดาญาติพี่น้องต่างทยอยตบเท้าเข้างาน ขณะนั้นเอง จู่ๆ เจียงมู่หลงก็ตบโต๊ะและลุกขึ้นยืน “คุณปู่ครับ ยกโทษให้ผมด้วยที่ผมไร้ความสามารถ ผมห้ามลูกน้องของเจียงหว่านคนหนึ่งที่คอยลักลอบสอดไส้วัสดุไว้แล้ว แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอยังมีลูกน้องคนอื่นอีกหลายคน เวลานี้คงยืนกรานที่ไม่ยอมแก้ไข แค่เกรงว่าการตกแต่งบ้านของบริษัทมู่หราน จะกลายเป็นบ้านอันตรายไปเสียแล้ว!”
เมื่อพูดคำพูดนี้ออกไป ทุกคนต่างตื่นตกใจกันถ้วนหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง
Thanks...
มีต่อมั้ยครับ...