สรุปตอน บทที่ 30 นางล่วงเกินบุคคลระดับสูงท่านหนึ่ง 2 – จากเรื่อง น้องนางชายาบ๊องป่วนนคร โดย อล่าม
ตอน บทที่ 30 นางล่วงเกินบุคคลระดับสูงท่านหนึ่ง 2 ของนิยายนิยายย้อนยุคทะลุมิติเรื่องดัง น้องนางชายาบ๊องป่วนนคร โดยนักเขียน อล่าม เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสามคนต่างค่อยๆ หันไปมองตามๆ กัน ตอนที่เห็นคนที่มา บนใบหน้าต่างก็เปี่ยมไปด้วยความตกตะลึงไม่มากก็น้อยย่อมมีให้เห็น
ในตอนนี้แม้ว่าไม่ใช่ในพระราชวัง แต่กลับเป็นเขตพระราชฐานที่พวกทหารอารักขาเอสไว้ด้วย ผู้ชายคนนี้สามารถเข้ามาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ วรยุทธ์ช่างคาดเดาได้ยากยิ่งจริงๆ
“พยัคฆ์ร้าย!” แม้แต่ฉู่หยุนเทียนที่ไม่ได้ตกใจกับอะไรง่ายๆ ในตอนนี้ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความตะลึงงันไปหลายเท่าตัว
ตอนที่ฉู่หยุนเทียนมองไปยังหน้ากากนั้น ดวงตาดูหนักหน่วงขึ้นมาเล็กน้อย คนผู้นี้ไม่ว่าจะทำการใดๆ ก็ดูผิดแปลกอย่างยิ่งมาโดยตลอด? ในตอนนี้จู่ๆ ทำไมถึงมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ได้?
“ปู้จิงหยู?” ไป๋อี้เฉินก็พึมพำออกมาอย่างประหลาดใจในขณะเดียวกัน ไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าสำนักพยัคฆ์ร้านมาก่อนเลย เนื่องจากเจ้าสำนักพยัคฆ์ร้ายใส่หน้ากากมาโดยตลอด และหน้ากากอันนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของเขาไปแล้ว
ฉู่หยุนเทียนและไป๋อี้เฉินต่างมีโอกาสได้เจอกับคนที่สวมหน้ากากผู้นี้มาก่อน
หน้ากากสีเงินบดบังรูปโฉมทั้งหมดของเขาไว้มิด ทำให้คนไม่มีทางที่จะไปสังเกตเห็นอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่นิดของเขาเลย
เขายังคงสวมหน้ากากอยู่ต่อหน้าฝ่าบาท ไม่กล่าวไม่ได้ว่าเขาบ้าระห่ำจริงๆ แต่ว่าก็ไม่ยอมรับไม่ได้อีก เขาก็มีความสามารถที่จะบ้าระห่ำจริงๆ นั่นแหละ
ฝ่าบาทก็แอบตกตะลึงไปเช่นกัน ในส่วนลึกของดวงตาก็แฝงไว้ด้วยความระแวดระวังหลายเท่าตัวเพิ่มมากขึ้น คนผู้นี้อันที่จริงไม่ใช่ว่าจะยั่วโมโหได้ง่ายๆ
ได้ยินว่าครั้งที่แล้วฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าซีไม่ทราบว่ายั่วเขาโมโหเขาได้ยังไง ราชวงศ์ต้าซีเกือบสาบสูญไปเพียงชั่วข้ามคืน
คนผู้นี้แม้ว่าจะอยู่ในยุทธภพ แต่กลับทำให้จวิ้นจู่แต่ละคนต่างหวาดผวากันไปตามๆ กัน
“ปู้จิงหยูคารวะฝ่าบาท” เพียงแต่ผู้ชายที่สวมหน้ากากอยู่นั้นกลับโค้งคำนับมาทางด้านหน้าอย่างมีมารยาทอย่างยิ่ง
แม้ว่าน้ำเสียงจะเย็นชาไปหน่อย แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การเอามือมาประสานกันเท่านั้น การคารวะเป็นมารยาทในยุทธภพ
“จอมยุทธ์ปู้ไม่ต้องมากมารยาท เพียงแต่ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์ปู้จู่ๆ มาถึงที่นี่ด้วยเหตุอันใด?” ในตอนนี้ฝ่าบาทจับต้นชนปลายไม่ถูกขึ้นมาจริงๆ
ตามหลักการแล้ว เขาราชวงศ์ซวนหยวนก็ไม่ได้มีการไปมาหาสู่กับปู้จิงหยูมากมายขนาดนั้นเสียหน่อย ปู้จิงหยูแสดงออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ว่าจะออกค่าใช้จ่ายในค่ายทหารให้ มันช่างทำให้คนยากที่จะเข้าใจได้
“เมื่อครู่ข้าก็พูดไว้ชัดเจนแล้วว่ามาออกเงินค่าใช้จ่าย” ปู้จิงหยูพูดอย่างตรงไปตรงมาเลย เสียงไม่สูงแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามที่มีมาแต่เดิมนั้นของเขาไว้ ต่อหน้าฝ่าบาทก็ยังเรียกตัวเองว่าข้าออกมาโดยตรง
ฝ่าบาทอึ้งไปเล็กน้อย ยิ่งไม่เข้าใจไปอีก: “ข้าราชวงศ์ซวนหยวนและจอมยุทธ์ปู้ไม่ได้มีความสนิทสนมกัน จอมยุทธ์ปู้ทำเช่นนี้ยิ่งทำให้ข้ายากที่จะเข้าใจได้”
ฝ่าบาทก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน ยังไงใต้แผ่นดินนี้ก็ไม่มีของฟรีอยู่แล้ว เขาไม่อาจจะรับเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้มาได้มือเปล่า อีกทั้งยังเป็นของคนผู้นี้ด้วย
ปู้จิงหยูหัวเราะเบาๆ ออกมาครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะสวมหน้ากากเอาไว้ ไม่เห็นสีหน้าที่อยู่บนใบหน้านั้น แต่ว่าเสียงที่ชัดเจนนั้น แน่นอนว่าเป็นเสียงหัวเราะ
“หากจะบอกว่าไม่ได้สนิทสนมอะไรจริงๆ” เสียงหัวเราะยังไม่ทันได้ออกมา ก็ดูเหมือนว่าปู้จิงหยูจะถอนหายใจอย่างจนปัญญาออกมาหนึ่งเฮือก: “เฮ้อ ก็ไม่ใช่เพื่อผู้หญิงคนนั้นของข้าหรอกหรือ”
คำพูดนี้ของเขายิ่งทำให้ทั้ง 3 คนอึ้งไป ทำไมก็ยกผู้หญิงขึ้นมาอีกทีนี้?
ออกเงินค่าใช้จ่ายมันเกี่ยวอะไรกับผู้หญิงด้วย?
“จอมยุทธ์ปู้ หากไม่มีธุระอะไร ก็ขอให้เชิญกลับเถอะ” ดวงตาของฉู่หยุนเทียนเคร่งขรึมไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเสียงเย็นชาขึ้นมาบ้าง ในเสียงที่ไม่สูงนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่ทำให้คนไม่มีทางจะคัดค้านได้เลย
นี่เป็นอำนาจของคนที่อยู่ในสนามรบมานานคนหนึ่งจึงจะขัดเกลาออกมาได้
ฉู่หยุนเทียนรู้สึกว่าปู้จิงหยูมาก่อกวนเท่านั้น เขาทราบดีว่าปู้จิงหยูล่วงเกินไปได้ แต่ว่าราชวงศ์ซวนหยวนก็ไม่ยินยอมให้ปู้จิงหยูอย่างเขามาล้อเล่นได้เช่นกัน
ฝ่าบาทอึ้งไปเล้กน้อ้ย ราวกับว่าคิดไม่ถึงว่าฉู่หยุนเทียนในตอนนี้จะแสดงออกถึงอำนาจอันทรงพลังเช่นนี้ออกมา
ดวงตาของฝ่าบาทแวววาวเป็นประกายเล็กน้อย แต่ว่ากลับไม่ได้พูดอะไร
ไป๋อี้เฉินกวาดสายตามองไปยังปู้จิงหยูครู่หนึ่งด้วยสายตาที่ค่อนข้างเหยียดหยาม มุมปากก็เปี่ยมไปด้วยความเยาะเย้ย ดูเหมือนว่าปู้จิงหยูก็ไม่ได้มีความร้ายกาจเช่นนั้นอย่างตำนานว่าเลย ในทางตรงกันข้ามมีความรู้สึกว่าค่อนข้างก่อกวนด้วย
สีหน้าของฝ่าบาทกลับเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง คำพูดเยินยอก็ฟังมามากเกินไปแล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดว่าจะมาติดสินบนเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
แม้ว่าคำพูดของปู้จิงหยูฟังไปแล้วจะเหมือนว่าล้อเล่น แต่ว่าฝ่าบาทยังคงถามออกมาหนึ่งประโยคว่า: “ไม่ทราบว่าผู้หญิงของจอมยุทธ์ปู้เป็นใครกัน?”
“นางก็เป็นลูกรักของเจ้าพระยานามว่าฉู่หวูโยว” ดวงตาของปู้จิงหยูมองไปยังฉู่หยุนเทียน ในน้ำเสียงนั้นเห็นได้ชัดว่ามีความหนักแน่นหลายเท่าตัวอย่างมาก
“อะไรนะ? หวูโยว?” ครั้งนี้ฉู่หยุนเทียนตกตะลึงไปอย่างหมดจรดเลย ยังไงเขาก็คิดไม่ถึงว่าคนที่ปู้จิงหยูพูดอยู่นั้นก็เป็นหวูโยว
หวูโยวจะไปรู้จักกับปู้จิงหยูได้อย่างไร? อีกอย่างกับปู้จิงหยูยัง......
“เจ้าพูดจาส่งเดชอะไร?” ความตกตะลึงนี้ของไป๋อี้เฉินก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย ตะโกนออกมาเบาๆ ด้วยความยากจะเชื่อได้อยู่บ้าง
บัดนี้ไป๋อี้เฉินก็มองไปยังปู้จิงหยูอีกครั้ง แต่กลับหาไม่เจอท่าทางหยอกล้อเมื่อครู่แม้แต่นิดอีกเลย
ปู้จิงหยูในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าสวมหน้ากากเอาไว้ มองไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึกของเขาแต่อย่างใด ทำให้คนหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมา
“นี่?” ดวงตาของฝ่าบาทมองไปยังฉู่หยุนเทียนและไป๋อี้เฉิน และก็ดูลำบากใจอยู่บ้างด้วย
สถานการณ์นี้ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะซับซ้อนไปหน่อย
จู่ๆ ปู้จิงหยูก็ออกมาบริจาคเงินก็แปลกประหลาดเพียงพอแล้ว ตอนนี้คิดไม่ถึงว่ายังดึงหวูโยวเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอีก?
ปู้จิงหยูยังไงก็ไม่ได้สนใจไป๋อี้เฉินอยู่แล้ว แล้วกล่าวกับฉู่หยุนเทียนอย่างหนักแน่นอีกครั้ง: “ท่านเจ้าพระยา เรื่องของข้ากับหวูโยว หวังว่าท่านจะช่วยให้เราสมปรารถนาด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: น้องนางชายาบ๊องป่วนนคร
555น้องแสบ...
รออ่านน้า ชอบ มากเลยค่ะทุกเรื่องที่แอดลง อ่ะ...