สวีฉางหลินเดินมาสองสามก้าว แล้วลวดพับผ้าห่มให้เป็นระเบียบ หนึ่งครอบครัวสามคนเดินไปยังห้องครัว เห็นเหล่าไท่ไท่ตักโจ๊กถั่วรวมสี่ชามวางไว้บนเตาแล้ว
“กินแค่นี้หรือ?”
โจวกุ้ยหลานมองเตาแวบหนึ่งแล้วขมวดคิ้วถาม
“คนนั่งอยู่ในบ้านเยอะแยะ ข้ายังจะทำกับข้าวดีอะไรได้อีก? มีให้กินก็พอแล้ว รีบกินเถอะ แล้วเดี๋ยวพวกเจ้าก็ขึ้นเขาไปเองแล้วกัน ไม่อย่างนั้นพวกเขายังจะมาอีก” เหล่าไท่ไท่เอ่ย น้ำเสียงมีความหงุดหงิดเล็กน้อย
นางไม่ได้ทำอะไรตลอดช่วงเช้า เอาแต่นั่งกับพวกเขาในบ้าน หากไม่ใช่เพราะถึงเวลากินข้าว คนพวกนั้นก็คงไม่ไป
“อย่างนั้นต่อไปพวกเราก็ต้องกินแต่โจ๊กนี่น่ะหรือ?”
โจวกุ้ยหลานถามอย่างไม่พอใจ
เหล่าไท่ไท่ปิดฝา เงยหน้าเหลือบมองโจวกุ้ยหลาน “แล้วจะให้ทำอย่างไร? ทำปลาทำเนื้อต่อหน้าพวกเขาหรือ? อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่กลับกันแล้ว กินอยู่ที่บ้านเรานี่แหละ แล้วเชื่อไหมว่าวันต่อไปคนในหมู่บ้านก็จะพากันมานั่งรอกินอยู่บ้านเรา?”
“นั่นก็ไม่ได้ ข้าลำบากหาเงินมาก็เพื่อให้กินอิ่มกินอร่อย แบบนี้ยังจะได้กินอีกหรือ?” โจวกุ้ยหลานฮึดฮัด
โจ๊กถั่วรวมนี่กินสามมื้อยังพอว่า แต่ถ้ากินเป็นเวลานาน นางก็รับไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ได้กินข้าวหนึ่งวัน นางก็รู้สึกไม่ได้กินอาหารดีๆ แล้ว
“นังเด็กนี่ กินโจ๊กถั่วรวมสักมื้อแค่นี้จะผิดกับเจ้าหรืออย่างไร? รีบกินเร็ว ไม่อย่างนั้นแม้แต่โจ๊กถั่วรวมก็ไม่มีให้กินแล้ว”
เหล่าไท่ไท่ถลึงตามองโจวกุ้ยหลาน ยกโจ๊กถั่วรวมยื่นให้ตรงหน้าสวีฉางหลิน ยิ้ม “ฉางหลิน ลำบากเจ้ากินโจ๊กถั่วรวมแล้ว คืนนี้เราค่อยทำของอร่อยกินกันนะ”
“ขอบคุณท่านแม่” สวีฉางหลินรับมาด้วยสองมือ แล้วหยิบตะเกียบ
เมื่อเห็นภาพนี้ โจวกุ้ยหลานก็เบะปาก “ก็ไม่รู้สิน่าว่าใครเป็นลูกแท้ๆ ของท่านกันแน่”
เหล่าไท่ไท่ดีกับสวีฉางหลินที่เป็นลูกเขยมากกว่านางอีก ดูสีหน้าเหล่าไท่ไท่ที่มีกับนางสิ ไม่มีดีสักนิด แล้วดูกับฉางหลินสิ มีแต่ยิ้มตาหยี แล้วยังส่งอาหารให้ถึงมือเขาอีก
“รีบกิน!” เหล่าไท่ไท่ถลึงตาใส่นาง
โจวกุ้ยหลานยกโจ๊กถั่วรวมถ้วยหนึ่งยื่นให้เจ้าก้อนน้อย แล้วจึงหยิบของตัวเองมากิน
เมื่อเห็นนางเริ่มกินแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็ยกถ้วยของตัวเองมากินด้วย
โจวกุ้ยหลานกินหมดด้วยความรวดเร็ว พอวางถ้วยลงแล้วก็พูดขึ้นอย่างอึดอัด “แบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ! พอเข้าหน้าหนาวพวกเขาก็ว่างงาน เอาแต่มานั่งบ้านเราทั้งวัน อย่างนั้นพวกเรามิต้องกินโจ๊กถั่วรวมตลอดหรือ?”
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าจะเลี่ยงอย่างนี้ต่อไปไม่ได้
เรื่องนี้เหล่าไท่ไท่ก็คิดเหมือนกัน พลันเอ่ย “ไม่ขนาดนั้นหรอก พวกเขาก็มาบ้านเราแค่สิบวันครึ่งเดือน ถ้าเห็นบ้านเราไม่มีเงิน ต่อไปก็ไม่มาแล้ว”
“สิบวันครึ่งเดือน?”
โจวกุ้ยหลานโพล่งปากด้วยความตกใจ
หรือก็หมายถึง นางจะไม่ได้กินข้าวกับเนื้อสิบวันครึ่งเดือน?
“ไม่ได้ ข้าจะกลับขึ้นเขา!” โจวกุ้ยหลานพลันเอ่ยปาก
ก่อนหน้านี้นางยังคิดจะรอเข้าหน้าหนาวแล้วค่อยสร้างบ้าน แล้วจึงไปอยู่บนเขา แต่ดูจากตอนนี้ นางคงต้องกลับไปอยู่ในเรือนไม้ไผ่แล้ว
“ขึ้นเขิ้นอะไร พอหิมะตก เรือนหลังนั้นของเจ้ายังจะอยู่ได้หรือ? ที่แล้วมาแล้งจัด กินอิ่มได้ก็ดีแล้ว ยังจะเรื่องมากอีก!” พอเหล่าไท่ไท่ได้ยินว่าโจวกุ้ยหลานจะกลับไปอยู่บนเขาก็ไม่สบายใจ
ถ้านังเด็กนี่ไป บ้านนี้มิต้องเงียบเหงาหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...