อาจารย์ยังคงไม่พอใจที่นักเรียนตัวเองไปเป็นเด็กบริการคนอื่นในร้าน ในใจคิดแค่อยากได้เงินรางวัล เช่นนี้ก็สามารถชดใช้เงินทั้งหมดให้โจวกุ้ยหลาน และคืนห้องเรียนอันสะอาดให้กับเขาได้แล้ว
สำหรับสิ่งนี้ โจวกุ้ยหลานทำได้เพียงส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก
ทุกคนกลับไปห้องของตัวเอง เพียงแค่ต่างมีความในใจ
โจวกุ้ยหลานพาลูกทั้งสองคนไปอาบน้ำกลับไปนอนที่เตียง พลิกไปพลิกไปยังไงก็นอนไม่หลับ
มาเมืองหลวงก็หลายเดือนแล้ว แต่นางไม่ได้เจอสวีฉางหลินสักเท่าไหร่เลย
นางพลิกตัว มองไปที่หน้าต่าง แสงส่องเข้ามาจากช่องระหว่างหน้าต่างสาดส่องห้องจนสว่างทั้งห้อง
เที่ยงคืน ระหว่างสะลึมสะลือนางได้ยินเสียงเบาๆดังมาจากหลังคา นางตกใจ ลืมตาลุกขึ้นยื่นหัวมองออกไป ก็เห็นบนหลังคาของตัวเองมีกระเบื้องถูกเปิดออกหนึ่งแผ่น
ดึกๆดื่นๆ เป็นใครกันแน่?
ใจของนางบีบแน่น นั่งลงบนเตียงเบาๆ จากนั้นก็เห็นกระเบื้องไม่ขยับแล้ว ส่วนรูที่ถูกเปิดออกก็มีตาคู่หนึ่งโผล่มา
หลังจากตาคู่นั้นสบตากับนางแล้ว ก็หดกลับไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระเบื้อง นางก็มองดูรูเล็กๆนั่นถูกกระเบื้องปิดไว้แล้ว
โจวกุ้ยหลาน “.......”
หากนี่ไม่ใช่สวีฉางหลิน ให้ตายนางก็ไม่เชื่อ
นางรีบหยิบเสื้อกันหนาวคลุมไว้บนตัวอย่างรวดเร็ว สวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว วิ่งไปในสวน เงยหน้ามองไปข้างบน ก็เห็นเงาร่างหนึ่งยังนั่งอยู่บนกระเบื้องนั้น
“สวีฉางหลิน!” โจวกุ้ยหลินกดเสียงต่ำตะโกนไปคำหนึ่ง
ตะโกนเสร็จ นางก็เห็นร่างนั้นสั่นไหวไปทีหนึ่ง จากนั้นก็หันร่างมา มองมาที่นาง
เขาทั้งคนแอบอยู่ท่ามกลางความมืด นางมองไม่เห็นสักนิด ล้วนใช้ความรู้สึก นางรู้สึกว่าคนนี้ก็คือสวีฉางหลิน
“เจ้าลงมา!”
โจวกุ้ยหลานจงใจกดเสียงต่ำ กลัวว่าจะปลูกคนอื่นตื่น
สวีฉางหลินทางด้านหลังคานั้นได้ยินเสียงเรียกของนาง กลับเหมือนหวาดผวา ลุกขึ้นยืน กระโดดเพียงไม่กี่ครั้งก็วิ่งไปไกลแล้ว
โจวกุ้ยหลานหมุนตัวเปิดกลอนประตู วิ่งไปตามทิศทางของสวีฉางหลิน
ถนนตอนกลางคืนมืดสนิท ไร้คน โจวกุ้ยหลานได้ยินเพียงเสียงลมข้างหู และเสียงหัวใจเต้นของนาง
ไม่รู้วิ่งไปนานแค่ไหน นางมองไม่เห็นร่างของสวีฉางหลินแล้ว ส่วนนางก็หอบจนหายใจไม่ออกแล้ว หัวใจก็จะเต้นออกมาแล้ว
นางปล่อยฝีเท้าช้าลง เดินไปข้างหน้าทีละก้าว ให้หัวใจของตัวเองผ่อนคลายเต้นช้าลง
อากาศเย็นลอดเข้าไปในคอของนาง ทำให้นางทั้งคอแหบคอแห้ง
ไอไปสองครั้ง อดบ่นพึมพำเสียงเบาไม่ได้ “ทำไมเจ้าถึงได้ใจดำเช่นนี้? ลูกทั้งสองคนยังไม่เคยเห็นพ่อของพวกเขา! หลบพวกเราทั้งวันทำไม? กลัวพวกเราถ่วงขาเจ้าหรือ?”
พูดไปพูดมา นางก็ยิ่งรู้สึกคับแค้นใจ
คิดถึงเรื่องต่างๆนานาในเมืองหลวงระยะเวลานี้ นางรู้สึกอยากร้องไห้ ขอบตาก็ร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าอาศัยความสามารถตัวเองใช่หรือไม่ คิดถึงพวกเราก็มาดูพวกเรา เจ้าเคยเห็นแก่พวกเราหรือไม่? ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาสามปีแล้ว เจ้ามีเรื่องอะไรกันแน่ ไม่สามารถบอกข้าสักคำหรือ?”
โจวกุ้ยหลานทั้งๆรู้ว่าตัวเองพูดเสียงเบาขนาดนี้ หวีฉางหลินต้องไม่ได้ยินแน่นอน แต่ว่านางไม่สามารถหยุดได้
ทำไมถึงไม่ยุติธรรมแบบนี้? เขาสามารถมาดูนางและลูกได้ ลูกและนางไม่ได้เห็นเขา?
มีวิชาการต่อสู้วิเศษนักหรือ? มีความสามารถขนาดนี้ทำไมไม่รับพวกนางสามแม่ลูกไปอยู่ข้างกาย?
ตอนแรกโจวกุ้ยหลานยังควบคุมน้ำเสียงของตัวเอง พอสุดท้าย น้ำเสียงยิ่งอยู่ยิ่งดัง “เจ้ามันผู้ชายหลอกลวง! ก็รู้ว่าพวกเราหญิงม่ายเด็กกำพร้า! ขอบอกเจ้า ให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งปี ถึงเวลาหากท่านยังเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
เพิ่งพูดจบ ก็มองเห็นบ้านข้างๆจุดไฟ
นางตกใจ ใส่รองเท้าแตะหมุนตัวก็วิ่งเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...