นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 361

ทรงอำนาจคืออะไร ทรงอำนาจก็คือไม่ต้องการคำพูดแม้เพียงสักคำ เพียงแค่ควบม้าไปข้างหน้าผู้ที่เรียงแถวรออยู่ก็แหวกทางให้โดยอัตโนมัติ

ไม่นานเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็มาถึงประตูเมือง ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินยังคงครุ่นคิดว่านางจะทำอย่างไรต่อไปก็ได้ยินเสด็จอาเก้าพูดอย่างวางอำนาจ "เปิดประตูเมือง ข้าจะเข้าเมือง"

เอี๊ยด…

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงของเสด็จอาเก้าเปรียบเสมือนดังสายฟ้า ผ่าเปรี้ยงลงมาจนทำให้ทุกคนทำอะไรไม่ถูก

นี่ท่านอ๋องคนหนึ่งงั้นหรือ?

ประชาชนที่รออยู่นอกประตูเมืองเงยศีรษะขึ้นมองผู้ที่อยู่บนหลังม้าอย่างเงียบเชียบ ดวงตาของพวกเขาขลาดกลัวและจึงรีบถอยห่างออกไป ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เริ่มต้น คนเหล่านี้ค่อยๆ คุกเข่าลงทีละคนสองคนและตะโกนอวยพรให้อายุยืนพันปีเสียงดัง

ทหารที่เฝ้าประตูเมืองก็อึ้งไปเช่นกัน พวกเขาอ้าปากกว้างโดยไม่รู้จะพูดอะไรอยู่นาน สองขาสั่นเทา สีหน้าหวาดกลัวราวกับเห็นผีและใช้เวลาค้นหาเสียงของเขาอยู่นาน "ไม่ ไม่ ไม่ทราบว่าเป็นท่านอ๋องท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?"

บนใบหน้าแดงก่ำมีหยาดเหงื่อเม็ดใหญ่บ่งบอกว่าทหารผู้นี้กำลังจะแย่เสียแล้ว หากตี๋ตงหมิงอยู่เขาจะต้องถูกด่าชุดใหญ่เป็นแน่แท้

เฟิ่งชิงเฉินส่ายหัวและแอบคิดในใจว่าตงหลิงจิ่วช่างร้ายกาจยิ่งนัก เขาไม่รู้เลยว่าการขู่ขวัญสามารถฆ่าคนได้ แม้ว่าทหารเหล่านี้จะอยู่ในเมืองหลวง แต่พวกเขาก็แทบไม่เคยได้พูดกับท่านอ๋องมาตลอดชีวิต

เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบป้ายตำแหน่งออกมาจากแขนเสื้อ บนป้ายนั้นมีรูปมังกรและหงส์เริงรำเป็นอักษรเลขเก้า เฟิ่งชิงเฉินดูป้ายนี้แล้วรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเหมือนจะเคยมอบป้ายหยกที่ลักษณะคล้ายกันนี้ให้นางหนึ่งอัน

เอ่อ ถ้าไม่ได้ป้ายนี้นางก็คงลืมป้าหยกแสดงฐานะของเขาไปแล้วเรียบร้อย นางไม่เคยใช้มันมาก่อน นับว่าเป็นการหักหาญน้ำใจอันดีงามของเขาอยู่บ้าง หากรู้เช่นนี้เมื่อครู่นางคงจะไม่ทำให้เขาหงุดหงิด นางมีตราหยกที่เป็นสัญลักษณ์ของเสด็จอาเก้ายังต้องกังวลว่านางจะไม่สามารถเข้าเมืองได้อีกหรือ นางช่างโง่เขลาเสียจริง

ทหารชั้นผู้น้อยที่ดูแลเมืองไม่รู้จักหน้าคน แต่เขาจำสัญลักษณ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของคนผู้สูงกว่าหมื่นคนแต่อยู่ภายใต้คนคนเดียวได้จึงคุกเข่าลงทันที "ผู้น้อยไม่รู้ว่าเป็นเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าโปรดอภัยให้ผู้น้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ"

ประโยคนี้พูดออกมาอย่างเคารพนบนอบ เกรงว่าคงจะถูกทำให้ตกใจจนสมองกลับไปแล้วจึงตอบสนองต่อความกลัวไปตามสัญชาตญาณ

เสด็จอาเก้าไม่ได้มองดูทหารชั้นผู้น้อยคนนี้ด้วยซ้ำ เพียงสั่งอย่างเย็นชา "ไปเสีย ไปตามใต้เท้าของพวกเจ้ามา"

ผู้เป็นใหญ่อย่างแท้จริงจะไม่ต้องการหาเรื่องทหารชั้นผู้น้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่งและยิ่งไม่ใส่ใจทหารตัวเล็กๆ นี่เป็นศักดิ์ศรีของผู้ที่อยู่สูงกว่า

ในยามปกติ เรื่องเช่นนี้ล้วนเป็นงานของคนระดับต่ำ เสด็จอาเก้าไม่เคยสนใจเรื่องไร้สาระเช่นนี้

"พ่ะย่ะค่ะ" ทหารแทบจะกลิ้งและคลานไปทางประตูบานเล็ก ระหว่างทางไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวมากหรือว่าเหตุผลใดถึงกับล้มลงไปถึงสองครั้ง ท่าทางเช่นนั้นน่าขายหน้ายิ่งนัก แต่ไม่มีใครในที่นี้กล้าหัวเราะเยาะเขา เพราะหากเปลี่ยนเป็นตนเองแล้วก็คงไม่ได้ดีไปกว่านี้เช่นกัน

นี่คือประโยชน์ของอำนาจและมีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้นที่สามารถบอกให้เปิดประตูเมืองนี้ได้

เฟิ่งชิงเฉินยามที่ข้าราชการระดับสูงเดินทางในยุคปัจจุบันในชาติก่อนของนาง ตำรวจจราจรปิดถนน รถตำรวจเคลียร์ทาง ตำรวจพิเศษคุ้มกัน ประชาชนระดับล่างล้วนตื่นตระหนกตกใจและระมัดระวัง หากคนเหล่านั้นเป็นดังเช่นเสด็จอาเก้าที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้าตำรวจชั้นผู้น้อย ท่าทางของเขาคงคล้ายกับที่ทหารผู้นี้ได้พบเสด็จอาเก้า

ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนก็ย่อมมีกลุ่มคนที่ชอบอภิสิทธิ์อันสูงส่งอยู่เสมอ นางไม่อิจฉาแต่รู้สึกริษยามากกว่า

ไม่นานหลังจากนั้นก็เห็นตี๋ตงหมิงวิ่งออกมาพร้อมกับลูกน้องของเขามาปรากฏตัวต่อหน้าเสด็จอาเก้าโดยจะหายใจไม่ทันและไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเสด็จอาเก้าด้วยซ้ำ เขาคำนับโดยไม่พูดอะไรสักคำ "เสด็จอาเก้า ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพ่ะย่ะค่ะ"

ไม่มีใครสงสัยในตัวตนของเสด็จอาเก้าอีก เพราะนี่คือเมืองหลวง ไม่มีใครกล้าแอบอ้างทำตัวเป็นเชื้อพระวงศ์แน่

ตี๋ตงหมิงอยู่ในกองทัพ ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า เขาเพียงแต่ทำความเคารพแบบครึ่งพิธีการเท่านั้น

"ลุกขึ้นเถอะ" เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างเย็นชาโดยไม่ลงจากหลังม้า ท่าทางวางอำนาจเสียเต็มประดา แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเกี่ยวกับเขา นี่เป็นสิทธิพิเศษของเชื้อพระวงศ์ นอกจากนี้เขายังไม่จำเป็นต้องทำอย่างพวกตงหลิงจื่อลั่วที่แสดงว่าตนดีงามมีคุณธรรมและมีเมตตาต่อผู้คนที่อยู่ต่ำกว่า

เฟิ่งชิงเฉินถูกเสด็จอาเก้ากอดแน่นอยู่ในอ้อมแขนของเขาจึงได้พลอยรับการเคารพและคนอื่นๆ ไปด้วย

ตี๋ตงหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเงยหน้ามองเสด็จอาเก้า ในขณะที่กำลังจะบอกให้เปิดประตูเมืองและให้เสด็จอาเก้าเข้าไปนั้นก็พบว่ามีหญิงคนหนึ่งอยู่ที่ด้านหน้าเสด็จอาเก้า ตี๋ตงหมิงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเขาเห็นลักษณะของหญิงสาวผู้นั้นแล้วก็ยิ่งต้องอ้าปากค้าง เขาก็ตกใจมากกว่าที่ทหารชั้นผู้น้อยบอกเขาว่าเสด็จอาเก้าอยู่นอกประตูเมืองเมื่อครู่เสียอีก

"เฟิ่ง เฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉิน?" ตี๋ตงหมิงลืมเสด็จอาเก้าไปเสียสนิทและชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยนิ้วสั่นเทา เป็นไปได้อย่างไร? เขามองผิดไปหรือเปล่า?

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มแหยๆ "แม่ทัพตี๋ ไม่เจอกันเสียนาน" นางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะเข้าเมืองด้วยความสูงส่งเช่นนี้ บุรุษที่อยู่ข้างหลังนางดูเหมือนจะไม่รู้ว่าคำว่าถ่อมตัวเขียนอย่างไร หรือไม่เขาก็จงใจ?

ประตูเมืองมีเรื่องขัดแย้งกับนางเสียแปดส่วน ทุกครั้งที่นางเข้าเมืองล้วนต้องถูกใส่สีตีไข่ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก ไม่ง่ายเลยที่นางจะใช้ความเป็นสิริมงคลมาลบล้างคำครหานั้น แต่กลับปรากฏว่าการขี่ม้ากลับเมืองด้วยกันกับเสด็จอาเก้านั้นได้ทำลายมันลงไปจนหมดสิ้น

หลังจากเข้าเมืองแล้วก็เกรงว่าจะมีคนแพร่ข่าวลืออีก รองจากบุตรชายคนโตของตระกูลหวังและแม่ทัพอวี่เหวินแล้ว ตงหลิงจิ่วก็เป็นอีกหนึ่งคนที่สนิทสนมกับเฟิ่งชิงเฉิน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ