เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจความลังเลของหวังจิ่นหลิงเป็นอย่างดี
สำหรับคนสมัยโบราณแล้ว ร่างกายของเราได้มาจากพ่อแม่ ห้ามรับบาดเจ็บเด็ดขาด และการที่ร่างกายของตนมีอวัยวะของผู้อื่นติดอยู่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถรับได้อย่างสลายใจได้
แต่สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางเป็นแค่หมอ นางบังคับผู้ป่วยไม่ได้ นางทำได้เพียงให้คำแนะนำเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นหวังจิ่นหลิงขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ เฟิ่งชิงเฉินก็ถอนหายใจอย่างลับๆ และตัดสินใจเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง
ในฐานะหมอ นางหวังว่าดวงตาของหวังจิ่นหลิงจะหายดี ในฐานะเพื่อนนางหวังว่าดวงตาของหวังจิ่นหลิงจะสามารถมองเห็นได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ชายที่ควรจะมีความสุขและสนุกกับชีวิต ไม่ควรที่จะถูกขังไว้ในห้องเล็กๆ นี้เพราะดวงตาของตน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็เกลี้ยกล่อมอีกครั้ง "คุณชายใหญ่ แผนการรักษาของข้าเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าข้าบังคับให้เจ้าเลือก แต่หากเจ้าอยากมองเห็น จะต้องปลูกถ่ายกระจกตาของคนอื่น นี่เป็นโอกาสและวิธีเดียวของเจ้า หากว่าเจ้ารับไม่ได้ ข้าสามารถแน่ใจได้ว่า ทั้งชีวิตนี้เจ้าจะไม่สามารถมองเห็นได้อีก
จิ่นหลิง ในมุมมองของเพื่อน ข้าคิดว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องกระจกตา หากข้าไม่บอกเจ้า เจ้าไม่มีทางรู้แน่นนอว่ามีกระจกตาของคนอื่นอยู่ในดวงตาของเจ้า การปลูกถ่ายที่ว่ามานั้น อันที่จริงเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก
เช่นเดียวกับใบหน้าของผู้หญิงที่มีบาดแผลขนาดใหญ่และผิวหนังชิ้นใหญ่ฉีกขาด เพื่อให้มันกลับมาสวยงาม ฉันข้าจึงแนะนำให้นางตัดชิ้นส่วนจากหลังหรือแขนของนางลงมา แล้วเย็บให้เข้ากับใบหน้าของนาง วิธีนี้ฟังดูแปลกประหลาดอย่างมาก แต่ก็มีอยู่จริงและได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ได้" อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวจุดนี้
ถ้าไม่ใช่กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะอยู่ด้วย แม้ว่านางจะทราบเรื่องเหล่านี้ นางก็ทำไม่ได้อยู่ดี
การปลูกถ่ายไม่ใช่แค่ถอดออกแล้วใส่เข้าไปแค่นี้ ระหว่างนั้นยังมีขั้นตอนอีกหากว่าไม่มีกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ เฟิ่งชิงเฉินจะไม่มีวันรับหวังจิ่นหลิงไว้รักษาอย่างแน่นอน
การปลูกถ่ายกระจกตาเป็นการผ่าตัดที่ง่ายที่สุดในการปลูกถ่ายอวัยวะ เนื่องจากกระจกตาไม่มีหลอดเลือด จึงไม่มีปัญหาเรื่องเข้ากันได้หรือไม่ หากว่าเป็นกระจกตาที่แข็งแรงก็ใช้ได้แล้ว
แต่ถึงกระนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเฟิ่งชิงเฉินที่จะทำเรื่องนี้
นางไม่มีห้องผ่าตัดที่สมมาตรฐาน ไม่มีผู้ช่วย นางพึ่งพาได้เพียงตัวเอง หากหวังจิ่นหลิงยืนยันที่จะทำการผ่าตัดนี้ นางจะได้เตรียมการทุกอย่างให้เรียบร้อย
เมื่อหวังชีได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าและเกลี้ยกล่อมพี่ชาย "พี่ใหญ่ ชิงเฉินพูดถูก มีข่าวลือว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีสามารถทำการถ่ายโอนจากคนสู่คนได้ การปลูกถ่ายที่เฟิงชิงเฉินกล่าวมา คงจะเป็นวิธีการรักษาแบบที่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีใช้อยู่"
หวังชีอธิบายเทคนิคการ "ถ่ายโอนจากคนสู้คน" ให้เขาฟังอย่างละเอียด
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าขณะฟัง
ที่แท้ ในยุคนี้สามารถทำการปลูกถ่ายผิวหนังและปลูกถ่ายอวัยวะได้แล้ว เป็นอย่างที่คิด แพทย์แผนโบราณนั้นเก่งกาจเสียจริง การแพทย์ตะวันตกไม่มีทางเทียบได้อย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่แพทย์แผนโบราณปัจจุบันของจีนเริ่มลดลง
หุบเขาซวนยีงั้นรึ? หากมีโอกาสข้าจะไปเยี่ยม และแอบฝึกการแพทย์แผนโบราณมาสักหน่อย
เฟิ่งชิงเฉินแอบตัดสินใจพูดไปตามที่หวังชีกว่า และหาเหตุผลที่ที่สมเหตุสมผลให้กับการปลูกกระจกตาของตนว่า
"คุณชายใหญ่ คุณชายเจ็ดพูดถูก การปลูกถ่ายที่ชิงเฉินว่ามานั้น ได้รับแรงบันดาลใจจากการถ่ายโอนจากคนสู้คนของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี หากว่าในฐานะมิตรสหาย ข้าสามารถแทนเจ้าว่าจิ่นหลิง แต่หากในฐานะหมอ ข้าเป็นหมอ ส่วนเจ้าเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลหวัง
วันนี้ ชิงเฉินเห็นแก่ที่เราเป็นมิตรสหาย ได้พูดทุกอย่างที่ควรพูดและไม่ควรพูด จิ่นหลิง ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะยอมรับแผนการรักษาของข้า สุดท้ายแล้วสิทธิ์ในการตัดสินใจอยู่มือเจ้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า"
หลังจากเฟิ่งชิงเฉินพูดจบ นางหันกลับมาและเก็บปากกาและกระดาษ เก็บข้าวของ และกล่าวคำอำลากับหวังจิ่นหลิงที่ยังคงครุ่นคิด
"จิ่นหลิง ดึกแล้ว ชิงเฉินต้องกลับไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร ชิงเฉินก็จะสนับสนุน"
หลังจากพูดจบ นางก็โบกมือบอกหวังชีว่ากลับไป
แม้ว่าหวังชีจะไม่อยากจากไปในเวลานี้ แต่เมื่อได้เห็นท่าทีแน่วแน่ของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เขาก็เข้าใจด้วยว่าเฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจแล้ว และเขาไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงมัน...
อีกอย่าง ตอนนี้พี่ชายของเขาไม่มีเวลาสนใจเขาเช่นกัน เพราะเขาคงกำลังครุ่นคิดอย่างหนักอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ