นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 550

สรุปบท บทที่ 550 ลูก อย่าไปคาดเดาว่าเสด็จอาเก้าคิดอย่างไร: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

อ่านสรุป บทที่ 550 ลูก อย่าไปคาดเดาว่าเสด็จอาเก้าคิดอย่างไร จาก นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย

บทที่ บทที่ 550 ลูก อย่าไปคาดเดาว่าเสด็จอาเก้าคิดอย่างไร คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายInternet นางสนมแพทย์อัจฉริยะ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย อาช้าย อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ลู่เส้าหลินกล่าวอย่างไม่เกรงใจใคร ตงหลิงจื่อลั่วไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน เขาพยายามเก็บความโกรธเคืองในใจเอาไว้ และพยายามเผยหน้ายิ้มออกมา

“ใต้เท้าลู่ คนบางคนโง่เขลาไม่รู้ที่ต่ำที่สูง พูดจาไร้สาระ หวังว่าใต้เท้าลู่จะไม่ถือสาพวกเขา”

ตงหลิงจื่อหลัวรู้ดี คงต้องเป็นคนของตระกูลปู่ที่กล่าววาจาเช่นนี้ ทำให้ลูเส้าหลินโกรธเคือง มิเช่นนั้นลู่เส้าหลินไม่มีทางเล่นงานพวกเขาอย่างไม่ให้เกียรติตน ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ยังคงเป็นองค์ชายเจ็ด เป็นลูกของจักรพรรดิ

“กระหม่อมไม่อยากจะถือสาเช่นกัน แต่ที่นี่คือองครักษ์เสื้อโลหิต องครักษ์เสื้อโลหิตมีกฎระเบียบของตัวเอง กระหม่อมเองก็ไม่สามารถทำผิดกฎขององครักษ์เสื้อโลหิตได้เช่นกัน” ลู่เส้าหลินไม่ไว้หน้าตงหลิงจื่อลั่ว เขาโต้แย้งกลับไปอย่างเย็นชา

สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ลั่วอ๋องควรตื่นได้แล้ว หลังจากวันนี้ไป อย่าว่าแต่แย่งบัลลังก์เลย ได้เป็นท่านอ๋องก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว

ลั่วอ๋อง อย่าโทษข้าเลย โทษที่ท่านมีญาติไม่รู้ที่ต่ำที่สูงคอยเป็นภาระท่านเสียดีกว่า

...

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินกลับมาที่เรือนเล็กซีชวี เรือนเล็กซีชวีได้กลับมาเป็นปกติแล้ว ทุกสิ่งที่เสด็จอาเก้าทำลายก็กลับไปเป็นเช่นเดิม

จวนซุนมีเพียงห้องฟืนหลังเดียวที่ถูกเผา ไม่มีผลกระทบใดๆ มากเท่าไหร่ ทงจื่อและทงเหยากลับมาแต่เนิ่นๆ ทั้งสองคนไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เจอชาวบ้านก่อการจลาจลนอกเมือง เฟิ่งชิงเฉินปลอบโยน จากนั้นก็ให้พวกเขาไปพักผ่อน

ตกเย็น ตี๋ตงหมิงมาหาเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทีตื่นเต้น “ชิงเฉิน เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้ารู้หรือไม่”

“เรื่องกระไรกัน?” หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินกลับมาจากพระราชวัง นางก็ไม่ได้สืบข่าวในวังอีกต่อไป เพราะมีคนของเสด็จอาเก้าอยู่ข้างใน ทุกอย่างอยู่ในความควบคุม นางมิต้องกังวล

“ไม่นะ เรื่องจวนพระสัสสุระลือกันใหญ่โตเช่นนี้ เจ้ากลับไม่รู้?” ตี๋ตงหมิงดื่มชาหมดในอึกเดียว จากนั้นก็เล่าให้เฟิ่งชิงเฉินฟังอย่างตื่นเต้นว่า พระสัสสุระโดนโคล่น ฮองเฮาถูกกักไว้ในตำหนัก ตงหลิงจื่อลั่วไปขอความช่วยเหลือใคร ก็ไม่มีใครช่วย

“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าบอกแล้วว่าฟ้ามีตา ไม่ใช่ว่ากรรมยังไม่ตามสนอง แต่เพราะยังไม่ถึงเวลา ทำเรื่องเลวๆ ไว้ก็อย่าคิดว่าจะมีจุดจบที่ดี นึกย้อนกลับไปตอนนั้น คนในตระกูลของลั่วอ๋องและฮองเฮาจองหองเพียงใดเมื่อพวกเขาได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท!

ไม่เพียงแต่องค์รัชทายาทจะต้องหนีเรื่องราวครั้งนี้ แม้แต่ปู่ข้าและคนอื่น ๆ ก็ต้องหลีกเลี่ยงเรื่องครั้งนี้ หากมิใช่เพราะเสด็จอาเก้า พระสัสสุระคงจะมีอำนาจมากในพระราชวัง

ข้าคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไป อีกหลายสิบปีผ่านไปลั่วอ๋องขึ้นครองบัลลังก์ คนนอกพระราชวังมีอำนาจ แต่ไม่คาดคิดว่าในชั่วข้ามคืน สถานการณ์นี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ตระกูลฮองเฮาที่ล้มลง แม้แต่ลั่วอ๋องเองก็ได้รับผลกระทบ

ครั้งนี้ ลั่วอ๋องทุกข์ทรมานเพียงใดก็พูดออกมามิได้ พ่อและพี่ชายของฮองเฮาเสี่ยงเพื่อเขา แต่กลับทำให้อนาคตของเขาเสียไปเพราะเหตุนี้ และเขาเองก็จำเป็นต้องช่วยเหลือ เพราะมิเช่นนั้น แม้แต่ญาติของตนเกิดเรื่องเขาก็ไม่ช่วย ต่อไปใครจะกล้าสู้เคียงคู่เขาอีก”

น้ำเสียงของตี๋ตงหมิงดูสมใจอย่างมากที่เรื่องเป็นเช่นนี้ แต่พูดไปอยู่นานเขาพบว่า เฟิ่งชิเงฉินไม่ตอบสนองใดๆ ตี๋ตงหมิงเริ่มสงสัย

“ชิงเฉิน เจ้าไม่มีความสุขหรือที่ฮองเฮาและลั่วอ๋องเป็นแบบนี้? หรือว่าเจ้ายังมีใจให้ลั่วอ๋อง เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้เจ้าเสียใจ? ชิงเฉิน เจ้าอย่าโง่ ลองคิดดูซิว่าตอนนั้นพวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าโหดเหี้ยมแค่ไหน หากมิใช่เพราะว่าเจ้าเข้มแข็ง ฉลาดมากพอ เจ้าคงตายเพราะน้ำมือพวกเขาไปนานแล้ว เจ้าอย่ามาใจอ่อนตอนนี้นะ”

“ตรงไหนที่เห็นว่าข้าเป็นห่วงตงหลิงจื่อลั่ว?” เฟิ่งชิงเฉินมองดูตี๋ตงหมิงด้วยความโกรธ เหตุใดทุกคนถึงคิดว่านางยังมีในให้ตงหลิงจื่อลั่วอยู่ บ้าจริงๆ นางไม่มีใจให้ชายเจ้าชูแบบเขาหรอกหน่า

“เอ่อ... ไม่มี แต่เหตุใดเจ้าจึงไม่มีความสุขล่ะ?” ตี๋ตงหมิงเกาศีรษะ

เฮ้อ ถ้าหวังจิ่นหลิงยังอยู่ที่นี่จะดีมาก จิ่นหลิงไม่ใช่คนโผงผางแบบเขา จิ่นหลิงละเอียด แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่พูดกระไร จิ่นหลิงก็สามารถรู้ได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินคิดอะไรอยู่

เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่จิ่นหลิงไปเมืองชิงสุ่ย และยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง ตี๋ตงหมิงเริ่มเป็นห่วงหวังจิ่นหลิง

การต่อสู้ภายในตระกูลหวังค่อนข้างเดือด วิธีการลอบสังหารและการวางยาพิษเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จิ่นหลิงเพิ่มได้ครองตำแหน่งหัวหน้าตระกูล คนที่สามารถเชื่อใจได้มีไม่มาก เขาอยู่ข้างนอกเรื่องความปลอดภัยจึงเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างมาก

“ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะมาดีใจกับเรื่องพวกนี้ ฮองเฮาไม่ได้ถูกถอนตำแหน่ง แค่ถูกกักตัวเอาไว้ ตราบใดที่ฮองเฮายังอยู่ ลั่วอ๋องก็ยังคงเป็นบุตรภายในของพระราชวัง ฉะนั้นเขาก็ยังได้เปรียบในการชิงบัลลังก์อยู่ดี

อีกอย่าง จักรพรรดิเพียงสั่งประหารพระสัสสุระ ไม่ได้มีผลกระทบต่อคนอื่นๆ ในตระกูล คนส่วนมากถูกถอนตำแหน่ง หนักที่สุดก็แค่ปล่อยนอกเมือง เห็นได้ชัดว่า จักรพรรดิยังคงเก็บกำลังหลักของลั่วอ๋องเอาไว้อยู่มาก” ทั้งหมดนี้เสด็จอาเก้าเป็นคนบอกนางเช่นกัน

เสด็จอาเก้ากล่าวว่าจักรพรรดิจะเบื่อหน่ายตงหลิงจื่อลั่วหรือไม่ ขึ้นอยู่กับวิธีที่เขาปฏิบัติต่อฮองเฮาและคนในตระกูลของนาง จักรพรรดิจะไม่แสดงความเมตตาโดยไร้เหตุผล

เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิทิ้งทางเลือกเอาไว้ให้ตงหลิงจื่อลั่ว ให้ตงหลิงจื่อลั่วยังมีทุนในการแย่งชิงเหลืออยู่

แน่นอน จักรพรรดิไม่ได้ทำเช่นนี้เพราะโปรดปรานตงหลิงจื่อลั่ว แต่ทำเพื่อความสมดุล หากลั่วอ๋องล้มลง อำนาจในมือของลั่วอ๋องก็จะแบ่งให้องค์รัชทายาทและองค์ชายคนอื่นๆ

องค์ชายหลายคนอยู่ที่ศักดินามาตลอด อีกอย่างองค์รัชทายาทได้รับความสนับสนุนจากชิงอ๋อง ถึงเวลานั้นองค์รัชทายาทจะมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นไปมาก และจักรพรรดิจะไม่มีวันยอมให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

กลยุทธ์ของจักรพรรดิอยู่ในความสมดุล จักรพรรดิให้โจวอ๋องอยู่เพื่อกดดันตงหลิงจื่อลั่วและองค์รัชทายาท ใช้องค์ชายเหล่านี้เพื่อกระจายกำลังในมือขององค์รัชทายาทและตงหลิงจื่อลั่ว ถึงเวลานั้นหากว่าองค์รัขทายาทมีอำนาจเหนือกว่าใคร เช่นนั้นลั่วอ๋องและองค์ชายอื่นๆ จะร่วมมือกันจัดการองค์รัชทายาท

การต่อสู้เป็นประเด็นต่อเนื่องของราชวงศ์ เมื่อวันหนึ่งไม่ต่อสู้ ก็คงเพราะตายหรือชนะ

“เอาล่ะ ข้าดีใจเสียเปล่า ไม่น่าแปลกใจที่คุณปู่บอกว่าข้าว่า ข้าไม่เหมาะที่จะเป็นขุนนาง กลเหล่านี้เจ้าดูออก แต่ข้ากลับดูไม่ออก” ตี๋ตงหมิงจำเรื่องที่คุณปู่เตือนเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกในเมื่อคืนได้ว่า วันนี้จะต้องระวังตัวให้มาก เพราะวันนี้จะเกิดเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน

เขาไม่เชื่อเลยว่าอยู่ดีๆ จะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่คาดคิดว่า ออกมาแต่เช้าตรูก็มีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้น เขายังคงสับสนและไม่เข้าใจสถานการณ์ เพราะเรื่องที่เกิดนี้ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เลย

เฟิ่งชิงเฉินเอามือเท้าคาง และเอียงศีรษะเพื่อครุ่นคิดคำถามนี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน นางไม่เข้าใจว่าเสด็จอาเก้ากำลังคิดอะไรอยู่ เฟิ่งชิงเฉินจึงตัดสินใจจะถามเสด็จอาเก้าเองในครั้งหน้า

ความคิดของเสด็จอาเก้านั้นเดายากเกินไป เฟิ่งชิงเฉินกลัวว่าตนเดาผิด นางหายใจเข้าลึกๆ เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นเข้าห้อง เตรียมจัดกล่องเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ เพราะพรุ่งนี้อาจได้ใช้

ไม่ช้าก็เร็ว เย่เย่จะมาขอร้องนางอย่างแน่นอน

เมื่อนางเปิดกล่องยาและพบจดหมายอยู่ด้านบน เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

“พี่สายลับละเลยหน้าที่อย่างมาก มีคนแอบเข้ามาพวกเขากลับไม่เห็น ครั้งที่แล้วเสด็จอาเก้าก็แอบเข้ามา ดูเหมือนว่าต้องบอกซูเหวินชิงเรื่องนี้แล้วล่ะ ว่าต้องปรับปรุงสายลับ”

เฟิ่งชิงเฉินมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ดังนั้นนางจึงหยิบจดหมายขึ้นมาและเตรียมอ่าน

บูม……

เพียงชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนเป็นสีแดง นางกำจดหมายไว้ในมือทั้งสองข้างและรีบเอากำไว้ที่หน้าอก กลัวว่ามีใครมาเห็นเข้า แววตาของนางเป็นประกาย นางมองไปรอบๆ และพบว่าไม่มีใคร จึงเปิดออกอย่างเขินอาย และอ่านทีละตัว รอยยิ้มของนางก็หวานยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

การเจอกันคือโชคชะตา การคิดถึงกันเป็นความผูกพัน แต่การพบหน้ากันนั้นยากยิ่งนัก หนทางไกลแสนไกล ทำได้เพียงการมองพระจันทร์ดวงเดียวกับเจ้าเท่านั้น แต่ด้วยความไม่อิ่มเอมใจ จึงฝากเอาความรักนี้เป็นภาพให้หงฟ้านำไปส่งถึงเจ้า

ยินดีที่ได้พบ ขอถนุถนอมเจ้า เมื่อมองดู เห็นริมฝีปากสีแดง คิ้วที่งดงาม ดวงตาที่สดใจ น่าหลงใหลและเสน่หายิ่งนัก ความรักอันล้นอกนี้จะเปิดเผยออกมาได้อย่างไร ได้แต่เพียงใช้กลอนหงส์วอนรักถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเท่านั้น

จดหมายรัก นางได้รับจดหมายรักแล้ว สิ่งสำคัญคือคนที่ส่งจดหมายนี้คือตงหลิงจิ่ว!

อ่า...มีความสุขมาก มีความสุขมาก ไม่เคยคิดว่าคนนิ่งเงียบอย่างเสด็จอาเก้าจะมีท่าทีที่อ่อนโยนเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินสามารถจินตนาการได้เลยว่าตอนที่เสด็จอาเก้าเขียนจดหมายนี้ และท่าทีที่เขินอายของเขา แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นประโยคสุดท้าย นางตะลึงเล็กน้อย

เสด็จอาเก้าพูดว่า ข้ารอจดหมายตอบกลับจากเจ้า!

จดหมาย จดหมายตอบกลับ จะตอบกลับอย่างไรดี...

เฟิ่งชิงเฉินถือจดหมายเอาไว้และกอดผ้าห่มกลิ้งไปมา

สส่งจดหมายรักผ่านห่านฟ้าไรเนี่ย เขินจังเลย!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ